Sunday, April 26, 2015

Review : Berlin, Germany [January 2015]

มหานครเบอร์ลิน
[ BERLIN | GERMANY]


กรุงเบอร์ลิน (Berlin) - หรืออ่านตามแบบฉบับภาษาเยอรมันจะออกเสียงว่า "แบร์ลิน" ในรีวิวครั้งนี้จะเขียนเป็นการอ่านแบบภาษาอังกฤษก็แล้วกัน คิดว่าหลาย ๆ คนคงจะคุ้นหูมากกว่า

กรุงเบอร์ลิน เป็นเมืองหลวงของประเทศเยอรมนี ตั้งอยู่ฝั่งตะวันออกของประเทศ มีประวัติศาสตร์อันโด่งดังคงหนีไม่พ้นเรื่องการแบ่งเบอร์ลินออกเป็น 2 ฝั่ง หรือเบอร์ลินตะวันตก และเบอร์ลินตะวันออกในช่วงสงครามเย็นนั่นเอง พักสาระไว้ตรงนี้สักแปป กลับเข้าสู่โหมดเกรียนของเจ้าของบล้อก

ความตั้งใจในการไปเยือนเบอร์ลินครั้งนี้ไม่ได้ตั้งใจจะไปดูประตูบรานเดนบวร์ก ไม่ได้จะไปดูซากกำแพงเบอร์ลิน ไม่ได้จะไปตามรอยประวัติศาสตร์สงครามโลกแต่อย่างใด แต่เกิดจากที่ชั้นเนี่ยได้เรียนในคลาสภาษาเยอรมันเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่งในเบอร์ลิน ชื่อว่า "Pergamon Museum" และนี่คือเหตุผลที่ชั้นมาเบอร์ลินในครั้งนี้

ในช่วงมกราคม 2015 ที่ผ่านมาขับรถกว่าจะไปถึงเบอร์ลินก็ประมาณบ่ายแก่ ๆ แล้ว สิ่งที่แรกที่เห็นในเบอร์ลินตั้งแต่ขับเข้าเขตมาคือ รถเยอะมากข่า ทั้งจอด ทั้งขับ เต็มไปหมด อากาศไม่เป็นใจอย่างแรง ฝนตก ท้องฟ้ามืดครึ้มเป็นที่สุด 

หลังจากขับรถวนหาโรงแรมกันอยู่พักใหญ่โดยอาศัย Google Map มันก็พาเราวนกันอยู่ 2 รอบ กว่าจะได้เข้าไปล้างหน้าล้างตา เอากระเป๋าโยนทิ้งไว้ แล้วออกมาสำรวจเมืองกันโดยพลันเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา 

หลังจากได้แผนที่มาจากโรงแรม ที่แรกที่จะมุ่งหน้าไปคือ "ประตูบรานเดนบวร์ก (ฺBrandenburger Tor) ระหว่างทางเดินชั้นได้เจอกับพี่หมีสัญลักษณ์ของเบอร์ลินด้วย พี่หมีชื่อว่า "Buddy Bear"



ทางเดินไปประตูบรานเดนบวร์กจะมีร้านขายของที่ระลึกเยอะมาก และยังเดินผ่านพิพิธภัณฑ์ชื่อดังระดับโลกอีกที่นึงคือ มาดามทุซโซ่ (เขียนถูกเป่าวะ) ช่วงที่ไปเค้ามีโปรโมชั่นด้วยนะจ้า ราคาคนละ 39 ยูโรมั้งถ้าจำไม่ผิด เขียนเส้นใต้หนา ๆ ว่า "ราคาโปรโมชั่นแล้ว" แพงหูดับตับไหม้กันไปค่ะ  เดินผ่านไป ...


ยังเดินหน้าต่อไปก็ถ่ายรูปข้างทางไปเรื่อย ๆ ท้องฟ้าสีมันหม่นมากรูปก็อาจจะไม่สวยเท่าไหร่นะ เดินผ่านอีกที่คือ Aeroflot มั่นใจว่าขาเที่ยวรู้จัก 5555  Aeroflot คือสายการบินสัญชาติรัสเซียนั่นเอง


ก่อนถึงประตูบรานเดนบวร์ก เหลือบซ้ายไปมองจะเห็นตึกใหญ่โตโอ่อ่าตั้งอยู่ รูปทรงเป็นสี่เหลี่ยม ๆ ดูโบราณ ๆ ร่วมสมัย นั่นคือ "Hotel Adlon" เป็นโรงแรมที่เก่าแก่และใหญ่มาก ไปแอบอ่านมาในวิกิเห็นว่าสร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 โน้น แล้วก็ถูกทำลายและเปิดตัวลงไปพักใหญ่ในช่วงสงครามเย็น จนมีการบูรณะขึ้นมาอีกรอบโดยยังคงอ้างอิงถึงรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบ Original ปัจจุบันเปิดให้บริการทั้งหมดเกือบ 400 ห้องพัก โรงแรมมี 7 ชั้น ถือว่าเป็นโรงแรมที่หรูหราและโด่งดังมากในยุโรป 



ในที่สุดก็เดินมาถึงประตูบรานเดนบวร์ก แหม่ กว่าจะถึงเกริ่นไปได้เกือบ 10 รอบ 5555  ฝั่งที่ชั้นกำลังจะเดินไปขอเรียกว่าด้านหน้าประตูละกันนะ อ้างอิงจากรูปปั้นเทพธิดาที่หันหน้ามา ซึ่งฝั่งนี้แหละในช่วงสมัยสงครามเย็นคือฝั่งเบอร์ลินตะวันตก ด้านหลังประตูจะมีกำแพงเบอร์ลิน (Berlin Wall) กั้นอยู่ ซึ่งเป็นฝั่งเบอร์ลินตะวันออก 

ฝั่งเบอร์ลินตะวันตกจะถูกปกครองโดย อเมริกา สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และเบอร์ลินฝั่งตะวันออกจะถูกปกครอบโดย สหภาพโซเวียต 






เดินลอดประตูไปเลี้ยวขวามุ่งหน้าไปที่สถานที่สำคัญอีกที่นึงคือ "อาคารรัฐสภาเยอรมัน (Sitz des Deutschen Bundestages) " จุดเด่นของตัวอาคารก็คงจะเป็นโดมแก้วบนยอด ซึ่งเปิดให้นักท่องเที่ยวเดินขึ้นไปชมได้ด้วย แฟนแอบกระซิบบอกว่าเวลามีประชุมสภากันเค้ายังเปิดให้ชาวเยอรมันขึ้นไปที่โดมแก้วเพื่อนั่งฟังการอภิปรายได้ด้วย







เดินมุ่งหน้าไปทางขวาอีกนิด จะเจอที่ที่คุณอังเกล่า แมร์เคิล หรือนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกและคนปัจจุบันของเยอรมนีนั่นเอง เป็นที่ ๆ เค้านั่งทำงาน แต่ตอนที่ไปนี่ไม่น่าจะอยู่เยอรมัน 



พระอาทิตย์เริ่มตกดิน ลมเริ่มพัดแรงขึ้น ฝนตกปรอย ๆ ลงมาอีกแล้ว แต่ก็ยังไม่พลาดที่จะเดินต่อไปถนนด้านหลังของประตูบรานเดนบวร์ก มุ่งหน้าไปอนุสาวรีย์แห่งชัยชนะ (Siegessaeule) มองเห็นได้จากประตูเลยและคิดว่ามันไม่ไกล แต่เอาจริง ๆ ไกลมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก



ตอนนี้เราเดินมาอยู่ในฝั่งเบอร์ลินตะวันออกแล้วนะ ก็คือด้านหลังประตูนั่นเอง เดินมุ่งหน้าตรงไป ตรงอย่างเดียว ตรงยาว ๆ เลย  ระหว่างทางเจออนุสาวรีย์ของทหารโซเวียต เดาว่าน่าจะเป็นทหารที่เสียชีวิตในช่วงสงครามเย็น เพราะฝั่งนี้เป็นฝั่งโซเวียตปกครอง


อนุสาวรีย์แห่งชัยชนะโดยที่ยอดมีรูปปั้นเทพธิดา Victory หรือเทพธิดาแห่งชัยชนะอยู่เป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะ สามารถเดินขึ้นไปชมวิวได้ด้วยนะ



คือเดินมาให้เห็นกับตาแค่นี้แหละ ฝนก็เริ่มปรอย ๆ แล้ว ท้องก็เริ่มหิว เดินกลับไปทางเดิมมุ่งหน้ากลับโรงแรม ตอนนี้พระอาทิตย์ตกแล้วมองไปที่ประตูบรานเดนบวร์กเปิดไฟส่องประตู เหลืองทองอร่ามสวยมาก ด้านหน้าประตูก็มีรถเทียมม้าบริการนักท่องเที่ยวเพื่อเยี่ยมชมเมือง (ขี้ม้าเหม็นมว้ากกก)




ขาเดินกลับก่อนไปหาอะไรใส่ท้องก็ขอแวะร้านพิพิธภัณฑ์ซื้อของติดไม้ติดมือกันซักหน่อย สำหรับชั้นจะชอบซื้อ Magnet ของสถานที่ต่าง ๆ สะสมไว้เสมอ เป็นของสะสมว่าเราได้ไปที่ไหนมาแล้วบ้าง


หมดไปแล้ววันแรกกับสถานที่แลนด์มาร์กต่าง ๆ เข้าสู่วันที่ 2 เดินมุ่งหน้าไปพิพิธภัณฑ์ตามที่ได้เกริ่นไว้แล้วในตอนต้นของรีวิว บางคนสงสัยว่าไอ่พิพิธภัณฑ์นี้มันมีอะไรน่าไปขนาดนั้น ตอนไปปารีสก็ไม่เห็นชั้นจะแวะซักกะพิพิธภัณฑ์ ตามมาเดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง

เบอร์ลินจะมีแม่น้ำชปรีไหลผ่าน และจะมีเกาะที่เป็นแหล่งรวมกับพิพิธภัณฑ์เป็นจำนวนมากเรียกว่า "Museumsinsel (มู-เซ-อุม-อิน-เซล) หรือภาษาอังกฤษก็คือ "Museum Island" นั่นเอง




ระหว่างเดินตรงเข้าไปก็จะเห็นมหาวิหารแห่งกรุงเบอร์ลิน (Berlin Cathedral) มหาวิหารนิการโปรเตสแตนต์ที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเบอร์ลิน วันนี้อากาศก็ไม่ดีอีกตามเคย ฝนยังคงตกปรอย ๆ ลงมาอย่างต่อเนือง 


ก่อนจะเดินไปถึงทางเข้า Pergamon Museum จะเห็นตึกรูปทรงสวยงามตึกนึงนั่นคือ "หอศิลป์แห่งชาติ" 



Pergamon Museum เป็นพิพิธภัณฑ์ชื่อดังอีกที่ในโลกซึ่งเก็บรวบรวมงานวัตถุโบราณจากทั่วโลก แต่ละชิ้นใช้เวลาปะติดปะต่องานชิ้นต่อชิ้น และมีขนาดเท่าของจริง !!!!!!  นี่คือเหตุผลว่าทำไมชั้นถึงอยากมีพิพิธภัณฑ์นี้มาก เพราะชั้นเป็นพวกบ้าของเก่า ของโบราณนั่นเอง พิพิธภัณฑ์จะแบ่งออกเป็น 2 ปีกอาคาร (ตอนที่ไปเค้ากำลังปิดซ่อมแซมอีกฝั่งนึงอยู่ ร้องไห้หนักมากเสียใจ)



เดินเข้าไปจะเจอจุดขายบัตรเข้าชมและรับเครื่องฟัง เพื่อรับฟังประวัติศาสตร์ของงานชิ้นต่าง ๆ ภายในพิพิธภัณฑ์ ก่อนจะเดินเข้าบริเวณพิพิธภัณฑ์จะเจอแผนรับฝากของ ก็จัดการฝากเสื้อโค้ทกันไป

พิพิธภัณฑ์แห่งนี้อนุญาตให้ถ่ายภาพภายในได้แต่ห้ามใช้แฟลช และต้องรักษาความสงบระหว่างเดินชมชิ้นงานต่าง ๆ ภายในพิพิธภัณฑ์ด้วย (เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยด้านในเยอะมากกกก)

สิ่งแรกที่ชั้นเห็นก็ทำให้ชั้น Amazing แล้วก็คือบาบิลอนเกท สวยงามและใหญ่โตมาก ทั้งนี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งของประตูเท่านั้น ถ้าจำไม่ผิดจะเป็นของประเทศตุรกี






เดินผ่านบาบิลอนเกทไปจะเจอกับประตูใหญ่ ๆ อีกเช่นกัน เรียกว่า ประตูตลาดเมืองมีเลตัส เป็นประตูเข้าสู่ตลาดจะพูดยังไงดีวะ อารมณ์คล้าย ๆ กับเป็นประตูสู่การค้าอะไรเถือก ๆ นั้น ของตุรกี แต่ถูกแผ่นดินไหวเสียหายไปมาก หลังจากนั้นได้ถูกเก็บกู้ซากและบูรณะขึ้นมาอีกรอบ นี่เป็นแค่ส่วนนึงของประตูเท่านั้น



และยังมีวัตถุโบราณอีกมากมายจำไม่หวาดไม่ไหว วันนั้นใช้เวลาอยู่หลายชั่วโมงมากอยู่ในนี้ แทบไม่เห็นตะวันเห็นเดือน เดินกดฟังชิ้นแต่ชิ้น มันช่างถูกใจจริง ๆ 











ด้วยความโชคร้ายที่ปีกอาคารอีกฝั่งปิดบำรุงซ่อมแซม ชั้นเสียใจหนักมาก เดินไปดูป้ายเข้าจะเปิดอีกทีโน้น อีก 5 ปี !!!!!!!!!!!!!!!!  เสียใจ  ยังไงชั้นจะกลับมาเหยียบที่นี่อีกรอบแน่นอน 


ขอบคุณที่ติดตาม

/ / ส วั ส ดี 


4 comments: