Tuesday, March 3, 2015

Review : Day 1 in Paris, France [December 30, 2014]


Paris : DAY 1
City of Love - City of Lights

          เกริ่น . . . ทริปนี้อ่ะจริง ๆ เป็นทริปเซอร์ไพร้ส์ คือแฟนนางบอกว่าเนี่ยลางานตั้งหลายวัน จะให้นั่ง ๆ กิน ๆ นอน ๆ อยู่แต่ในเยอรมันคงไม่ดี นางก็เลยบอกว่าไปที่อื่นเหอะแต่ไม่บอกว่าที่ไหนจะเก็บไว้เป็นเซอร์ไพร้ส์  เช้าของวันก่อนที่จะไปปารีสก็ขับรถไปกินข้าวเช้าบ้านหมะม้า ตะนี้นางก็เม้าท์มอยกับน้องนางกับม้าป๊าว่าเนี่ย ไปเที่ยวไหนดีกินไหนอร่อย บลา ๆ ๆ  แล้วด้วยคงที่เค้าลืมกันไงว่าชั้นเรียนภาษาเยอรมันอยู่  แฟนของน้องชายน้องก็ทำหน้าตาดีใจแทนชั้นไง แล้วพูดขึ้นมาว่า " Nach Paris " . . . หมดกันเซอร์ไพร้ส์  555  กลับถึงบ้านนางโยนตั๋วกับหนังสือเที่ยวปารีสมาให้อ่านเลยจ่ะ คือไหน ๆ ความก็แตกแล้ว 

          จำได้ว่าวันนั้นตื่นกันตั้งแต่ตี 4 กว่า เพราะว่าต้องไปขึ้นรถไฟประมาณ 6 โมง ตอนตี 5 ป๊าขับรถมารับที่บ้านเพื่อพาไปส่งที่สถานีรถไฟ Weimar (ไวม่า) แพลนคือเราต้องนั่งจาก Weimar ไปลง Frankfurt ก่อนแล้วเปลี่ยนชานชลาไปขึ้นอีกขบวนที่ไป Paris  แล้ววันนี้ตื่นมาเป็นวันที่หิมะตกหนักมาก  รูปถ่ายจากหน้าสถานี คืออีแฟนมันจะสูบบุหรี่ไง ชั้นก็หนาว แล้วมันก็ไม่ให้ชั้นนั่งรอข้างในเป็นโรคบ้าอะไรก็ไม่รู้ ต้องให้อยู่ในสายตา  กูหนาวว้อยยยยยยยยยยยยย





          เออ...นึกเรื่องฮาได้เรื่องนึง  คือก่อนวันเดินทาง 2 วันไปเดินซื้อของกันที่ Erfurt (แอเฟิต) แฟนมันก็ซื้อ Winter shoe ไปคู่นึง มันก็หันมาถามชั้นว่าเอามั้ย ๆ แต่ชั้นมีบูทสั้นอยู่คู่นึงแล้วไง ชั้นก็เลยคิดว่าเออคงเอาอยู่แหละ เพราะเช็คอากาศกันแล้วที่ปารีสไม่ได้ติดลบ ไม่มีหิมะ  พอกลับมาถึงบ้านหมะม้าก็ว้อทแอพมาถามนางว่าเนี่ยซื้อรองเท้าใหม่ให้ชั้นรึเปล่า ?  แฟนชั้นก็บอกไม่ได้ซื้อให้  เท่านั้นแหละ...อีกวันนึงหมะม้าไปซื้อให้ชั้นจ่ะ 5555 ป๊าก็ขับรถเอามาให้ตอนกลางคืน โอ้ยยยย....รักนาง รองเท้าที่นางซื้อมาให้อุ่นมากกกกกกกกก


          ระหว่างรอรถไฟมาก็เลยไปเดินหากาแฟกินก่อน ในสถานีวังเวงเวอร์เพราะว่ามันยังเช้าตรู่แบบสุด ๆ ไง คนที่มารอรถไฟมีอยู่ 5-6 คนแค่นั้นเอง ในร้านกาแฟ-เบเกอร์รี่ก็มีขนมปัง แซนวิชให้เลือกสารพัด สารเพ โคตรน่ากินอ่ะ แต่ด้วยความที่มันยังเช้ามากเลยยังไม่ค่อยหิว ยังไม่อยากกิน





          
          พอเหลือเวลาอีกประมาณ 6-7 นาทีที่รถไฟจะมาก็เลยเดินขึ้นไปรอรถที่ชานชาลา เพราะถ้าขึ้นไปยืนรอเร็วกว่านี้ได้แข็งตายแน่ ๆ เพราะนอกจากหิมะจะซัดกะหน่ำซัมเมอร์เซลแล้วลมก็มา  โชคดีที่รถไฟไม่เลท  คนขึ้นน้อยมาก ตู้ที่จองไว้ก็เลยกลายเป็นนั่งแค่ 2 คน สบายเลยยย ตั๋วรถไฟถ้าจะจองให้มีที่นั่งชัวร์ ๆ ต้องเสียค่า reserve seat เพิ่มอีก ถ้าซื้อแค่ตั๋วธรรมดาจะนั่งตรงไหนก็ได้แต่ถ้าดันไปนั่งที่ที่เค้าจองก็ต้องลุก  ถ้าวันไหนซวย ๆ คนเดินทางเยอะอาจจะต้องยืนเอา  




          พอเริ่มเช้าแล้วท้องก็เริ่มหิว แฟนก็เลยเดินไปสั่งอาหารเช้ามานั่งกินกัน สั่งแค่กาแฟร้อนมาคนละแก้วกับครัวซองมาคนละชิ้น ตอนนี้ถ้าจำไม่ผิดประมาณ 7 โมงแล้วมั้ง แต่ท้องฟ้าก็ยังมืดสนิท



          ใช้เวลา 2 ชั่วโมงจาก Weimar ไป Frankfurt พอถึงก็รีบวิ่งไปอีกชานชาลาที่ต้องเปลี่ยนรถไฟไปปารีสแล้ว เพราะรถไฟจอดรอตั้งท่าอยู่แล้วจ้า  ที่ฮาคือเดินหาโบกี้รถไฟกันอยู่นานมาก ตั๋วที่บุ้กมาคือโบกี้ที่ 11 ก็เดินไล่กันไปตั้งแต่โบกี้ที่ 1 ใช่ป่ะ จนโบกี้สุดท้าย อ่าว....โบกี้ 10 เฮ้ย !!! โบกี้ 11 อยู่ไหนวะ  สรุป....มันอยู่บนโบกี้ที่ 1 จ่ะ รถไฟ 2 ชั้น  5555  รถค่อย ๆ เคลื่อนออกจากสถานี Frankfurt แล้ว ที่นี่หิมะก็ตก 




          ชั้นบนจะเป็นชั้น First class พร้อมอาหารเช้า นี่ก็ไม่รู้มาก่อนคือเพิ่งกินไปจากขบวนตะกี้ นี่กินอีกแล้ว เค้าก็เดินแจกเป็น Box Set ซึ่งเยอะมว้ากกกก พร้อมกาแฟร้อน  ถามว่ากินมั้ย ?  ชั้นก็ฟาดเรียบจ่ะ แคร์ที่ไหนเพิ่งกินมา 





          รถไฟออกจาก Frankfurt มุ่งหน้า Paris ความเร็วสูงสุด 320 km/h มันเร็วมากเลยพี่ชายยยย เกิดมานั่งเร็วสุด 120 km/h   555555  ใช้เวลาแค่ 3 ชั่วโมงเราก็ถึงที่หมาย เดินลากกระเป๋าด้อก ๆ แด้ก ๆ กันไปหา Metro  ช่วงนี้มีนักท่องเที่ยวมาปารีสเยอะมาก  ก็เนอะช่วงเทศกาล


          ตอนแรกแฟนชั้นนางอยากจะนั่งแท๊กซี่ไปโรงแรมเลย แต่นางก็บอกว่าโรงแรมหน่ะอยู่ใกล้ Metro ชั้นก็ค้านหัวชนฝา มาเที่ยวทั้งทีอยากลองกางแผนที่ไปเองมากกว่า ไป Metro กันเถอะ /ทำตาอ้อนใส่ อีกอย่างสัมภารกเราก็ไม่เยอะไง มีแค่กระเป๋าลากใบนึง กับแบ้คแพ็คชั้นก็สะพายอยู่แค่นั้น  แต่บอกเลยว่าตอนถึงปารีสชั้นอยากถอดเสื้อโค้ทมากกกก มันร้อนมากกก เพราะชั้นใส่มาหลายชั้นจัดจากเยอรมัน 

          ก่อนที่เราจะเดินไปขึ้น Metro ก็เดินไปขอแผนที่จาก Tourist Information เอาเก็บไว้เที่ยวในวันอื่นต่อ เดินลากกระเป๋าเข้าไปในตัวสถานีรถไฟก็จะเจอบันไดเลื่อนเพื่อลงไปสถานี Metro ซึ่งชั้นว่าสถานีกับสายรถของปารีสงงมาก เพราะเมืองไทยบ้านชั้น Metro มีเส้นเดียว  5555555555


          
          พอหลังจากที่ขึ้น Metro ก็ต้องไปเปลี่ยนสายอีกรอบนึงเพื่อไปโรงแรม แต่รถไฟที่ต่อไม่ใช่ Metro เค้าเรียกว่า RER เป็นรถไฟที่โบกี้ใหญ่มากมี 2 ชั้น  หน้าตาแบบรูปข้างล่าง


          นั่งไปอีกไม่กี่สถานีก็ถึงแล้วสถานี Tour Eiffel ที่พักอยู่ใกล้หอไอเฟลมาก มากแบบที่ไม่เคยคิดว่าจะอยู่ใกล้ขนาดนี้  แค่เดินขี้นจากสถานีก็เห็นหอไอเฟลเลย คือมันดีอ่ะ แล้วอากาศมันช่างต่างกับที่เยอรมันมาก ที่นี่อากาศดีมีแดดฟ้าก็เป็นสีฟ้า วันที่ไปถึงอากาศประมาณ 5 องศา  


          พอชั้นได้สัมผัสบรรยากาศของที่นี่เท่านั้นแหละ ชั้นกับแฟนก็รีบเดินไปเช็คอินแล้วก็โยนสัมภารกไว้ในห้องพร้อมออกไปตะลุยกันแล้ว  ลืมไปเลยว่าเคยง่วงนอน ระหว่างทางที่มุ่งหน้าไปหอไอเฟลจะมีตึก อพาทเม้นท์เรียงรายเยอะมาก ดูเหมือนเป็นห้องเช่าไรงี้อ่ะ ซึ่งชั้นว่าราคาคงไม่ใช่เล่น ๆ เลยแหละแก เพราะว่าโลเคชึ่นนางอยู่หน้าหอไอเฟลเลย ดีงามมาก



          พอเดินมาถึงหอไอเฟลคือมันตะลึงงันมาก มันใหญ่มากกกกกกกกกกก ไม่เคยคิดว่ามันจะใหญ่ขนาดนี้มาก่อน บวกกับอากาศดี ๆ แบบนี้ถ่ายรูปออกมางามเงิบเลยจ่ะ แต่ก็คงไม่สวยเท่ามาดูด้วยตาตัวเองนะจ้ะ ที่สำคัญนักท่องเที่ยวที่ยืนกันอยู่บริเวณนั้นนี่มีประมาณล้านแปด คาดคะเนด้วยความเวอร์และสายตา 5555555  เดินเข้าไปส่อง ๆ ว่ายืนทำไรกันวะ อ๋อ....คือพวกนางมายืนต่อแถวซื้อตั๋วขึ้นหอเว้ย จะขึ้นไปชมวิวไง แล้วแถวที่ต่อแกลองนึกภาพตามชั้นนะ คิวแบบคดไปเคี้ยวมาแบบที่หาจุดจบไม่ได้อ่ะแก ชั้นขอบายเลย ไปเดินดูอย่างอื่นก่อน 

                         






          หลังจากนั้นก็เดินข้างถนนไปอีกฝั่งนึง เป็นสวนสาธารณะกับวังอะไรแล้ววะชั้นก็ลืม 55555  แต่มันจะเดินผ่านสวนไปก่อน  แถว ๆ นั้นก็จะมีคนมาขายของในสวนกันเยอะ ตอนแรกชั้นเห็นป้ายขายเครปเว้ยอันละ 3 ยูโร ก็ยืนต่อแถวรอ พอเริ่มเดินไปใกล้ ๆ เพิ่งเห็นเมนูแบบชัดเจนไง "นูเทล่า + บานาน่า  6  ยูโร" อีบ้าาาาาาาาาาาา  แพงมากกกกกกกก  เดินออกจากแถวทันใดค่ะ ไม่กินมันละ  ไปดูวิวจากฝั่งนี้กันบ้างดีกว่า



          หลังจากที่เราเดินกันมาหาโลเคชึ่นเหมาะ ๆ กันได้แล้ว ก็จัดการชักภาพเป็นที่ระทึกกันหน่อยจ้า ว่าครั้งนึงเรามาเหยียบที่นี่กันแล้วจ้า  ขอเม้าท์มอย  แฟนชั้นมันไปเรียนการแอ๊คท่าแบบนี้มาจากไหนกันนะ นางทำท่าเป็นนายแบบสมกับอยู่ปารีสเชียว




         หลังจากนั้นก็ชวนกันชมเมืองรอบ ๆ ส่องไว้ก่อนว่ามันมีอะไรบ้าง อ่อ...ทริปนี้เป็นครั้งแรกของชั้นกับแฟนเลยที่มาปารีส เพราะฉะนั้นงานนี้กางแผนที่พากันเดินหลงโล้ด  

          สไตล์ของบ้านเมืองที่นี่จะดูเป็นตึก ๆ หลาย ๆ ชั้น หลังคาจะเป็นสีเทา ๆ ออกฟ้า ไม่ค่อยเป็นบ้านที่มีหลังคา แล้วระเบียงก็จะเป็นเหล็กดัด ดูเก๋ ดูไฮ ดีอ่ะ  อีกอย่างไม่ว่าจะเดินไปทางไหนของเมืองจะเห็นหอไอเฟลตลอด นางใหญ่ขนาดนั้น



          แอบเดินไปเจอร้านไทยร้านนึง ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นร้านอะไร เพราะร้านปิด



          พอเดินไปเรื่อย ๆ ท้องก็เริ่มหิวอีกแล้ว นี่ขนาดว่ากินมาเยอะแล้วนะ ก็เลยไปหยุดพักที่ร้านน่ารัก ๆ ร้านนึง สั่งน้ำ สั่งอาหารกินเบา ๆ พอรองท้องก่อน เพราะตอนนี้ก็เริ่มใกล้จะค่ำแล้ว  ค่อยรอจัดหนักคืนนี้เลยละกัน  อาหารจานแรกที่ปารีสคือ ไก่ .....


          ค่าอาหารกับค่าน้ำที่นี่โหดมาก โดยเฉพาะค่าน้ำ !!!!!  ซื้อทีไม่อยากคำนวณเป็นเงินไทย  แต่ถ้าซื้อตามช้อปเล็ก ๆ หน่อยก็จะถูกลงมาหน่อย ขวดลิตรครึ่งอยู่ที่ประมาณ 3 ยูโร   แล้วที่โรงแรมไม่มีได้มีนำ้ฟรีให้ทุกวันเหมือนบ้านเราเว้ย ชั้นก็ไม่รู้วันที่เช็คอินนางก็ให้มาขวดเล็กแค่ขวดเดียวก็เดินไปทวงที่รีเซปชึ่น สรุปวันที่เหลือต้องซื้อน้ำกินเอง  

         เดินกลับไปที่พักเพื่อวางแผนว่าคืนนี้จะกินข้าวที่ไหนกันดี  ไปเจอร้านนึงเพื่อนของแฟนนางแนะนำมา นางบอกว่างานดีมาก ราคาเหมาะสม  ซึ่งชั้นจะบอกว่าชั้นประทับใจร้านนี้มากเลยแก  อยากแนะนำให้ทุกคนที่มีโอกาสไปปารีส  ยังไงก็ต้องแวะมาลองนี้ให้ได้เชียว   ตัดสินใจกันเรียบร้อยว่าเลือกร้านนี้ก็เดินออกไป ร้านอยู่ใกล้ที่พักด้วย เปิดประตูเข้าไปเห็นเจ้าของร้านนั่งกินข้าวอยู่ นางบอกเปิด 1 ทุ่มค่ะ  55555 เลยต้องออกมาเดินเล่นกันก่อน  อีกประมาณ 15 นาทีเองมั้ง  ก็เลยเก็บภาพหอไอเฟลตอนกลางคืนมาให้ชม



          ร้านอาหารที่จะไปกินคืนนี้ชื่อว่า " Restaurant De La Tour "  โชคดีมากที่ชั้นกับแฟนเสนอหน้าไปก่อนร้านเปิด มิเช่นนั้นโต๊ะคงเต็มแน่นอน เพราะพอเดินเข้าไปโต๊ะทุกตัวโดน Reserve หมดเลย โอ้โห เป็นไงแสดงว่าร้านนี้ต้องเด็ดแน่ ๆ  



          ร้านนี้เป็นร้านเล็ก ๆ ออกแนวเหมือน Family Business มีโต๊ะอยู่ไม่ถึง 10 โต๊ะเอง บรรยากาศในร้านน่านั่งมาก 




          เมนูมีเป็นเซตให้เลือก 2 ราคาคือ 1. Starter + Main dish (30 ยูโร) 2. Starter + Main dish + Dessert (34 ยูโร)  ซึ่งแน่นอนมากันขนาดนี้ต้องจัดเต็ม  พร้อมสั่งไวน์อีก 1 ขวด ไวน์อร่อยมากเลยอ่าแก ฟินนนนนน  




          เริ่มจาก Starter นะ ของชั้นเป็น Smoked Duck breast with Foie Gras salad มันคืออกเป็ดรมควัน แต่ชั้นแอบสตั๊นไป 3 วิ เพราะว่ามันช่างแดงเดือดมาเลย มันสุกมั้ยว้าาาา แอบกลัวเล็กน้อย แต่พอได้กินเข้าไปแล้ว โอ้โหววววววววววว  ไม่ผิดหวัง 



  ไปดูจานของแฟนชั้น นางสั่ง  Warm Goat Cheese Salad  อร่อยเหมือนกัน ชั้นแอบไปตอดมา


          ถัดมาเป็น Main Dish  เริ่มที่ของชั้น Pan fried Sea Scallops Armoricaine sauce 


Main dish ของแฟน นางสั่ง Duck leg confit Orange sauce กลมกล่อมมาก อยากแลกจานกับนาง


มาจบที่ของหวาน ชั้นเลือก Warm Caramelized Apple vanilla ice cream หวานลงตัว


และสุดท้าย Dessert ของแฟนคือของโปรดของชั้น  Creme Brulee 


          บอกเลยว่าเดินหิ้วท้องกลับที่พักกันอย่างมีความสุขและเมามาก 55555555  วันแรกก็ดีแล้ว เดี๋ยวรอดูวันถัดไปว่าจะพาไปเที่ยวไหน  บอกได้เลยว่าแพลนแน่นมาก ส่วนพาร์ทนี้ขอลาไปก่อน อย่าลืมมาติดตาม Day 2 in Paris กันต่อนะจ้ะ


/ / ส วั ส ดี :-)


8 comments:

  1. สรุปแกชอบเซ็ทอาหารของพี่ห่านใช่มะ

    ReplyDelete
    Replies
    1. ของนางอร่อยอ่าา ชอบของหวานมาก !

      Delete
  2. เขียนน่ารักจุง ชอบๆๆ

    ReplyDelete
  3. รออ่านตอนที่สองน้าา

    ReplyDelete
    Replies
    1. พรุ่งนี้จะเขียนตอน 2 ให้เสร็จ !!!!! :)

      Delete
  4. ชอบแม่แฟนอ่ะน่ารักใจดี อาหารพี่ห่านน่ากินกว่าจริงๆ ค่าครองชีพ พอๆกะดับลินนะ เครปที่นี่ 5-6ยูโรจ๊ะ แสดงว่าที่เยอรมันค่าครองชีพไม่แพงมากใช่ไหม

    ReplyDelete
    Replies
    1. เอฟรีติงจิงกะเบลแพงมากกเจ้ ทำใจไม่ได้ สีลมเครปอัน 30 บาท แต่อาหารส่วนใหญ่ก็แพงมาก ๆ สงสัยเพราะเป็นเมืองท่องเที่ยวด้วยแหละ ที่เยอรมันเมืองที่เค้าอยู่มันนอกเมิองอ่า ของไม่แพงเท่าไหร่

      Delete