Showing posts with label eiffel. Show all posts
Showing posts with label eiffel. Show all posts

Sunday, April 5, 2015

Review : Day 4 in Paris, France [January 02, 2015]

Paris : DAY 4

City of Love - City of Lights


วันนี้วันสุดท้ายแล้วที่เราจะเที่ยวที่ปารีสกัน อ่ะ ไปดูโปรแกรมของเราวันนี้ว่าเราจะบุกไปที่ไหนกันบ้าง วันนี้เริ่มต้นออกจากโรงแรมเราเดินไปขึ้น Metro กันเพื่อมุ่งหน้าตรงไปย่านมงต์มาร์ทกัน ออกจากโรงแรมกันประมาณ 11 โมง เดินตรงไปที่ Metro สถานี Tour Eiffel มุ่งหน้าไปสถานีอะไรก็ไม่รู้จำไม่ได้ ว่ะฮ่ะฮ่า แต่เริ่มต้นเราไปโผล่กันที่ย่าน Red Light  สงสัยใช่ม้าว่ามันคือย่านอะไร ไปดูรูปกันก่อน




ย่านนี้เต็มไปด้วยร้านขาย "ของเล่น"  ที่บ้านเราก็มีขายแหละแต่หายากหน่อย เส้นนี้ทั้งเส้นก็จะเต็มไปด้วยร้านขายของเล่น ชุดเซ๊กส์ซี่ หรือแม้กระทั่วพาสต้ารูปโคยก็มีขาย ชั้นฮามากตอนเห็นกล่องพาสต้า ย่านนี้นอกจากจะมีร้านขายของแล้วก็ยังมีคลับ ร้านนวดอีกเยอะมากเช่นกัน แต่เค้านวดแนวไหนกันชั้นก็ไม่แน่ใจนะ ไม่ได้เข้าไปลอง ฮี่ๆ 

เดินตรงไปเรื่อย ๆ เราก็จะไปเจอกับ " Moulin Rouge (มูแลง รูฌ) " สังเกตุง่าย ๆ คือรูปกังหันลมสีแดงตั้งตระหง่านอยู่บนหลังคา มูแลง รูฌ เป็นต้นกำเนิดการเต้นคาบาเร่ ซึ่งเป็นการเต้นสไตล์ยั่วยวนของสาว ๆ นั่นเอง การแสดงก็ออกแนวเตะขายกขึ้นสูง ๆ แต่งตัวเซ๊กส์ซี่ ๆ เปิดกระโปรงพรึ่บ ๆ พรั่บ ๆ แต่ชั้นไม่ได้เข้าไปดูการแสดงโชว์นะ ราคาก็ค่อนข้างแพงเลยหละ เพราะถือเป็น original เลย และเปิดมานานหลายปีแล้ว






เราเดินมุ่งหน้าขึ้นเขากันไปกันย่านมงต์มาร์ตต่อ ระหว่างทางเดินขึ้นเขาก็จะเจอบ้านที่ตกแต่งสไตล์กังหันลมอยู่บ้าง ชั้นก็ไม่แน่ใจว่ามันเป็นสัญลักษณ์ของบ้านย่านนี้รึเปล่า หรือเพราะว่ามันเป็นบ้านย่านนี้ที่ตั้งอยู่บนเขาที่สูงที่สุดในปารีสไง ก็อาจจะมีลมให้กังหันลมได้หมุน ๆ ละมั้ง มันสวยดี







บอกเลยว่าเดินมาย่านนี้ต้องใช้พลังขาพอสมควรนะ (มิน่าแฟนถึงชวนชั้นขึ้นเมโทรมาก่อน) เพราะมันเป็นการเดินขึ้นเขาไปเรื่อย ๆ มองย้อนกลับไปในเมืองก็จะเห็นว่า ตรงนี้มันสูงจริง ๆ


มุ่งหน้าไปก่อนจะถึงยอดเขาเพื่อไปโบสต์ เราจะเดินผ่าน "ลานศิลปินปลาสดูแตร์"  เป็นแหล่งรวมงานศิลปะและศิลปินเลยหละ พร้อมมีงานตั้งขายและมีบริการวาดภาพเหมือนจริงด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องคอยระวังมิจฉาชีพให้ดี อีพวก Scam ทั้งหลาย มันมีถือกระดานวาดรูปแล้วอยู่ดี ๆ ก็จะมาเดินตามเพื่อสเก็ตภาพเรา สุดท้ายมันก็เก็บเงินไป ซึ่งชั้นกับแฟนโดนมาทั้งคู่ เสียไปคนละ 30 ยูโร !!!!! เป็นวันที่โคตรเซ็งบอกเลย แล้วรูปที่มันวาดให้ห่างไกลจากความเหมือนประมาณล้านเท่า  คนที่เจอลักษณะนี้แนะนำให้เดินหนีไปเลย อย่าได้ไปสนทนากับพวกนางเชียว !!!!!






ถ้าหิวก็มีร้านอาหาร ร้านกาแฟมากมายให้เลือกนั่งนะ อีกทั้งมีร้านขายของฝากราคาไม่แพง ใครจะแวะซื้อแวะชมแวะช้อปเพื่อเป็นของฝากให้เพื่อน ก็เป็นทางเลือกที่ดีอีกที่นึง



มุ่งหน้าขึ้นเขากันต่อเพื่อไปชม " Basilique du Sacre Coeur (โบสถ์บาสิลิกดูซาเครเกอร์) " เดี๋ยวก้อปจาก wikipedia มาให้อ่าน 5555 เพราะชั้นก็ไม่ค่อยมีความรู้เรื่องสถานที่เท่าไหร่ กราบขอบพระคุณวิกิมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ


มหาวิหารพระหฤทัยแห่งมงมาทร์ (ฝรั่งเศส: Basilique du Sacré-Cœur de Montmartre) เป็นโบสถ์และมหาวิหารรองในคริสตจักรโรมันคาทอลิก ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาที่สูงที่สุดของกรุงปารีส หรือที่เรียกกันว่า "มงมาทร์" สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแก่พระหฤทัยของพระเยซู ปัจจุบันถือเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวหลักของกรุงปารีส โดยถือเป็นอนุสาวรีย์ของทั้งสองด้าน คือการเมือง และวัฒนธรรม



โบสถ์ได้ถูกออกแบบโดยโปล อะบาดี ซึ่งเป็นสถาปนิกชาวฝรั่งเศสที่เป็นหนึ่งใน 77 สถาปนิกผู้ชนะการประกวด เริ่มการก่อสร้างในปี ค.ศ.1875 และเสร็จสิ้นในปี ค.ศ.1914 โดยได้รับการแต่งตั้งโดยสมบูรณ์ (วางศิลาฤกษ์) ภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปีค.ศ.1919

ในปัจจุบันนักท่องเที่ยวสามารถเข้าเยี่ยมชมได้ทุกวันตั้งแต่ 06.00 น. จนถึง 22.30 น. โดยสามารถเข้าชมบริเวณโดมได้ตั้งแต่ 09.00 น. จนถึงเวลา 19.00 น. หรือ 18.00 น. ในช่วงฤดูหนาว





เดินมาด้านหน้าของวิหารเราสามารถเห็นวิวเมืองปารีสได้ทั้งเมืองเลย เพราะอย่างที่บอกไปแล้วว่ามงต์มาร์ทเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในกรุงปารีส นอกจากนี้เรายังสามารถขึ้นไปชมวิวบนยอดโดมของโบสถ์ได้ด้วย แต่เสียค่าเข้าคนละประมาณ 8-9 ยูโร จำไม่ค่อยได้เพราะไม่ได้ขึ้นไป (รู้สึกว่าแพง ชั้นงก)


สำหรับคนที่เดินขึ้นไม่ไหวหรือพาครอบครัว ผู้สูงอายุมาก็ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะเดินขึ้นเขามาไม่ไหวนะ เพราะที่นี่เค้าก็มีบริการ Cable car ด้วย


วันนี้ต้องออกตัวก่อนเลยว่าแพลนเที่ยวไม่ได้หนาแน่นเหมือนวันที่ผ่าน ๆ มาเท่าไหร่ เดินชิล ๆ สบาย ๆ มากกว่า ด้านหน้าของโบสถ์จะมีบันไดเดินลงมาจากเขา ชั้นก็พากันเดินลงมา วันนี้อากาศก็ไม่ได้ดีเหมือนวันก่อน ๆ ด้วย มีฝนตกช่วงกลางคืน วันนี้ท้องฟ้าก็จะดูครึ้มฟ้าครึ้มฝนทั้งวัน พื้นถนนก็จะเปียกไปหมด ซึ่งโชคดีมากตอนที่เราตื่นมาฝนหยุดแล้ว และโชคดีมากอีกเช่นเดียวกันที่วันนี้เป็นวันสุดท้ายในปารีส ถ้าเจอฝนทุกวันคงเซ็ง



ระหว่างทางกลับเรานั่งเมโทรกลับไปที่สถานีนึง บอกเลยว่าจำชื่อสถานีไม่ได้แล้ว 55555 สำหรับคนที่นึกภาพเมโทรที่ต่างประเทศไม่ออก ชั้นถ่ายมาให้ดู มันก็เหมือนในหนังนั่นหละ มืด ๆ เก่า ๆ เพราะมันมีมานานแล้วไง เลยไม่ได้ดูสวย ๆ แบบบ้านเรา เพิ่มเติมนิดนึง การซื้อตั๋วเมโทรที่นี่มันจะเป็นแบบ one-way การใช้ตั๋วแบบวันเวย์ใช้ยังไง ก็คือนั่งไปเรื่อย ๆ ถ้าเราออกสถานีปลายทางที่สถานี B ก็คือห้ามกลับเข้ามาที่สถานี B อีกเพราะตั๋วจะใช้ไม่ได้แล้ว  แต่ตั๋วยังสามารถใช้เข้าที่สถานี C หรือสถานีอื่น ๆ โดยไม่ซ้ำสถานีที่เราออกได้ต่อไปเรื่อย ๆ


โผล่ขึ้นมาที่สถานีปลายทางที่จำชื่อสถานีไม่ได้ จะเจอกับ Saint Magdalenae Church ตั้งใหญ่โตตะหง่าน สวยมาก และดูเหมือนสไตล์โรมันโบราณสวยดี Magdalenae Church เป็นโบสถ์โรมันคาธอริค  วันที่เราไปเค้าปิดให้บริการ เลยไม่ได้เข้าไป 


จากที่นี่ชั้นก็เดินมุ่งหน้ากลับโรงแรมกัน ผ่านเส้นทางเดิม ๆ ที่เราไปเที่ยวกันวันที่ผ่าน ๆ มา คือ Place de la Concorde ซึ่งจุดนี้จะเห็นได้ว่าสถานที่เที่ยวสำคัญ ๆ มันอยู่ติด ๆ กัน พอเดินไหว เอาจริง ๆ คือไม่จำเป็นต้องเดินทางด้วยรถสาธารณะใด ๆ เลย






วันนี้เรามุ่งหน้ากลับโรงแรมกันเลย เพราะว่าที่เที่ยวต่าง ๆ ที่เราแพลนกันจะไปได้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีในช่วง 4 วันที่ผ่านมาในกรุงปารีส พอเดินมาถึงหน้าโรงแรมก็นึกขึ้นได้ว่า เห้ย ! เรายังไม่เคยได้บอกกล่าวเล่าเรื่องถึงโรงแรมที่เราไปพักเลยนี่เห้ย เราเลยถ่ายรูปหน้าโรงแรมมาให้ดู โรงแรมที่เราพักชื่อ
"Mercure Paris Centre Eiffel Tower Hotel" โลเคชึ่นดี อาหารดี ห้องพักดี พนักงานบริการดี ชอบพักที่นี่เพราะค่อนข้างสะดวกเรื่องเดินทาง และโลเคชึ่นไม่น่ากลัว ไม่เปลี่ยว ขอแนะนำให้เป็นอีกทางเลือกนึงสำหรับคนที่จะเดินทางมาเที่ยวปารีส


พอท้องเริ่มหิวเราเดินออกจากโรงแรมกันประมาณทุ่ม สองทุ่มเนี่ยหละ หาร้านอาหารนั่งกินชิล ๆ ใกล้ ๆ โรงแรม วันนี้ชั้นกับแฟนตัดสินใจกันแล้วว่าจะต้องขึ้นหอไอเฟลกันให้ได้เว้ย คือมาปารีสนอกจากจะมาเห็นหอไอเฟลมันก็ต้องขึนด้วยใช่มั้ยหละแก ตอนแรกเราก็เดินไปด้อม ๆ มอง ๆ รอบนะเว้ย แต่คนมันก็ยังเยอะอยู่  เลยได้เป็นสรุปว่าเราจะเดินไปหาอะไรกินกันก่อน หลังจากนั้นเราจะไปขึ้นหอไอเฟลกัน !

เราเจอร้านอาหาร Local ที่นึงอยู่ใกล้ ๆ โรงแรมเนี่ยหละ ชื่อร้าน " Le Beaujolais " ชั้นแนะนำให้ไปนั่งร้านนี้มาก !!!!!!!!!!!  จะมีคุณลุงคนนึงแกฮามาก แกจะไม่พูดภาษาอังกฤษด้วยเลยนะ แกจะพูดภาษาฝรั่งเศสใส่อย่างเดียวเลย อาหารอร่อย ไวน์อร่อย และราคาเป็นกันเองมาก  เราเลยไปนั่งกินรอเวลากันที่ร้านนี้ จานนี้คือเนื้อเบอกุนดี้ของชั้น มันดีงามมากกกกกกกกกกกกกก


เราออกจากร้านกันประมาณ 3 ทุ่มเศษ เดินมุ่งหน้าตรงไปที่หอไอเฟล เห้ย!!! คนน้อยลงแล้ว แถวจากที่ปลายแถวอยู่สุดลูกหูลูกตาตอนนี้มันสั้นมากแก  รอช้าอยู่ไยเราก็ยืนต่อแถวเพื่อรอซื้อตั๋ว ชั้นเดินขึ้นฝั่งบันได ราคาอยู่ที่ 5 ยูโรต่อคน ซึ่งราคามันจะต่างกับฝั่งที่ขึ้นด้วย Cable Car คนละ 9 ยูโรต่อคน



ก่อนที่จะถึงโซนขายตั๋ว จะมีด่าน security ตรวจสัมภาระทุกอย่างที่เราจะพกขึ้นไปด้วย ซึ่งมีข้อห้ามอยู่มากมายก่ายกองว่าอะไรที่แกห้ามเอาขึ้นบ้าง เพราะฉะนั้นเพื่อความไม่เสียเวลา ชั้นแนะนำให้ไปตอนที่แกไม่มีของอะไรติดตัวเลย ไม่งั้นถ้าแกอุตส่าห์เสียเวลาต่อแถวแล้วไปเจอด่านตรวจไม่ให้ขึ้น  แกอาจจะร้องไห้หนักมาก

หลังจากเดินคดเคี้ยวซื้อตั๋วกันเสร็จแล้ว ก็ยังต้องมาผ่านประตูตรวจโลหะกันอีกรอบนึง Security ดีมาก กว่าจะได้ขึ้นไปด้านบน

ระหว่างทางเดินเราก็จะเห็นสถาปัตยกรรมของหอไอเฟล คือมันสวยมากกกกก


หอไอเฟลจะมีทั้งหมด 3 Level ที่จะเดินขึ้นไปพักตามชั้นต่าง ๆ เพื่อชมวิวได้ ชั้นกับแฟนเดินขึ้นไปแค่ชั้นที่ 2 เพราะชั้นไม่สามารถขึ้นไปสูงสุดได้ ชั้นกลัวมากบอกเลย ขาสั่นเพราะว่ากลัวความสูงมาก ด้านบนของแต่ละชั้นจะมีร้านขายของที่ระลึก มีบาร์ และร้านอาหารให้นั่ง  ช่วงที่ชั้นไปมีลานไอซ์สเก็ตอยู่ด้านบนด้วย เด็ก ๆ เล่นกันตรึม

ไปดูวิวจากหอไอเฟลกัน เดินชมวิวได้รอบ  ๆ เมืองกันเลยทีเดียว และสามารถใช้เวลาอยู่บนนั้นนานเท่าไหร่ก็ได้ (ตราบใดที่มันยังไม่ปิด) สำหรับชั้น ชั้นว่าชั้นคิดถูกมากที่ตัดสินใจมาขึ้นชมวิวตอนกลางคืน เพราะชั้นคิดว่ามันมีเสน่ห์กว่าตอนกลางวันนะ มันเห็นแสงไฟไปทั่วทั้งเมือง สวยดี อีกอย่างคิวตอนกลางคืนจะสั้นกว่ากลางวันหลายเท่าตัวเลยทีเดียว








จบแล้วกับ 4 วันเต็ม ๆ ที่ปารีส เป็นประสบการณ์ดี ๆ อีกที่นึงที่ได้มีโอกาสมาเยือน และประทับใจกับสิ่งก่อสร้างและบ้านเมืองเค้ามาก งานนี้ต้องขอขอบคุณแฟนชั้นแหละที่อุตส่าห์เตรียมเซอร์ไพรส์ที่น่าประจับใจอย่างทริปนี้ไว้ให้ ขอบคุณมากจริง ๆ ชั้นหวังว่ารีวิวของชั้นคงมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยสำหรับคนที่วางแผนจะเที่ยวปารีสกัน หรือถึงมันจะไม่มีประโยชน์อะไร แต่ก็ขอให้เป็นแรงบันดาลใจสำหรับนักท่องเที่ยวทั้งหลายละกัน 555555

ขอบคุณมากที่ติดตามผลงานกันมาโดยตลอด  รีวิวหน้าไปเจอกันที่ Berlin, Germany นะ

/ / ส วั ส ดี :-)

Sunday, March 29, 2015

Review : Day 3 in Paris, France [January 01, 2015]


Paris : DAY 3

City of Love - City of Lights



ต้อนรับปี 2015 ก็ยังอยู่ที่ปารีสนะเออ  เอ้า! ยังอยู่ก็เที่ยวต่อสิคะท่านผู้โช้มมม 

เส้นทางการเดินเที่ยววันนี้ของชั้นมีดังต่อไปนี้จ่ะ  

Les Invalides-> Place de la Concorde-> 
Louvre Palace-> Musée du Louvre-> Notre Dame 

          เริ่มต้นวันด้วยสเต็ปเดิม ๆ คือลงไปกินอาหารเช้าของโรงแรมให้จงอิ่ม วันนี้เป็นวันแรกที่ออกสตาร์ทจากที่พักแล้วไม่เดินผ่านหอไอเฟล เบื่อนางกันรึยัง เพราะรูปนางเยอะเหลือเกิน 


          วันนี้เดินเลี้ยวไปอีกทางเพื่อไปที่ Les Invalides (เลแซงวาลิด) ก็คือรูปแรกที่ใช้เปิดเรื่องของโพสนี้นั่นเอง เดี๋ยวลงเพิ่มให้ดูอีก Les Invalides เป็นอาคารที่ฝังพระศพของพระเจ้านโปเลียนที่ 1 และยังมีศพนายพลพระสหายอีกหลายคนฝังอยู่ด้วย อีกอย่างเขายังว่ากันว่ายอดโดมของอาคารนี้เป็นยอดโดมที่สวยที่สุดในปารีสอีกด้วย




          เดินผ่านทะลุเข้าไปข้างในจะเป็นอาคารเหมือนทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าอ่ะ ใหญ่มาก ตรงกลางเป็นลานกว้าง ๆ รอบ ๆ จะมีปืนใหญ่วางอยู่เต็มไปหมด คิดว่าจะเป็นปืนใหญ่สมัยสงคราม ด้านในยังมีรถถังคันเล็ก ๆ ตั้งอยู่ด้วย ตอนแรกเดินเข้าไปดูก็นึกว่าเป็นของจำลองมาจากของจริง ที่ไหนได้ มันคือรถถังคันแรกที่ใช้ในการทำสงคราม




         เดินมาเรื่อย ๆ จนถึงทางออกอีกทางไม่รู้จะเรียกด้านหน้ารึด้านหลังดี ดูเทียบจากภาพข้างบนนะ ชั้นเดินเข้ามาจากทางโดมใช่ป่ะ แล้วก็เดินตรงมาออกอีกทางนึง ที่มีสวนด้านหน้า แล้วที่นี่เค้าตัดตัดไม้เป็นรูปทรงเก๋มากนะ ไม่เคยเห็นที่ไหนตัดแบบนี้มาก่อน

         
 พอมองตรงออกไปก็ร้อง อ้ออออออ! มันคือสะพานอเล็กซานเดอร์ที่ชั้นเดินมาเมื่อวานนี่เอง ก็เลยเดินข้ามสะพานกลับไปฝั่งถนน Champ Elysees กันอีกรอบ  

        นอกเรื่องนิดนึง....สังเกตุที่พื้นถนนกันสิจะเห็นว่ามีทางม้าลายเยอะมาก ที่ปารีสจะมีทางม้าลายเยอะมาก แม้กระทั่งซอยเล็ก ๆ ที่ต้องเดินข้ามผ่านถนนประมาณ 3-4 ก้าวก็ถึงอีกฝั่ง นางก็ยังระบายสีทางม้าลายกัน  ยัง...ยังไม่หมด ทุกที่ ๆ มีทางม้าลายก็ต้องมีไฟคนข้ามถนน ย้ำ !!! ทุก ๆ ที่ ทุก ๆ แยก ซึ่งบางทีแต่ละไฟเขียวไฟแดงห่างกันประมาณ 100 เมตร  บางทีมองตรงไปประมาณ 500 เมตรก็เจอซัก 5 ไฟแดง คิด ๆ แล้วก็แอบสงสารพวกรถเหมือนกัน 





              จุดหมายปลายทางต่อไปคือจะเดินย้อนกลับไปที่ Place De La Concorde ระหว่างทางก็เดินผ่านพวกที่ ๆ เดินผ่านมาเมื่อวานนั่นแหละ ปัจจุบันก็ยังไม่รู้ว่ามันเรียกว่าอะไร มันคงเป็นพิพิธภัณฑ์อะไรซักอย่างแหละ ถ้าใครรู้รบกวนคอมเม้นบอกด้วย





          พอเดินมาถึง Place De La Concorde วันนี้โชคดีมาก เค้ามีงานอะไรกันก็ไม่รู้ เป็นเหมือนพวก Circus ประมาณนี้ แล้วก็เตรียมตั้งขบวนเดินมาร์ชกันมุ่งหน้าไปเส้น Champ Elysees 








     แอบเดินเลียบ ๆ เคียง ๆ ไปที่ชิงช้าสววรค์ ใจจริงอยากจะขึ้นไปนั่งซักรอบ มโนว่าวิวต้องสวยแน่ ๆ  หลังจากเก็บกดจากการไม่ได้ขึ้นหอไอเฟลมาวันที่ 3 ละ เพราะคนเยอะขนาด แต่....พอเดินเข้าไปใกล้ ๆ ชั้นก็พบว่า " คนเยอะไม่แพ้กัน "  เดินชื่นชมจากด้านล่างไปอีกตามระเบียบ


    เสาที่เราเห็นดั้งเด่นอยู่กลางจตุรัสคองคอร์ดนี้คือ "Obélisque de Louxor" โอเบริกส์แห่งลักซอร์ เป็นโอเบลิกส์ศิลปะอียิปต์โบราณ สร้างจากหินแกรนิตสีแดงทั้งก้อน มีความสูงถึง 23 เมตร หนัก 250 ตันตัวโอเบริกส์ตกแต่งด้วยรูปฮีโรกลีฟิก เพื่อเป็นการสรรเสริญประเกียจติ์ ฟาโร รามเสสที่ 2 ในสมัย อียิปต์โบราณ




          เดินข้ามถนน (ที่น่ากลัวมาก) ไปอีกฝั่งเลยจ้า 



          เดินตรงไปเรื่อย ๆ จะเจอกับ Park ขนาดใหญ่ มีคนนั่งอาบแดดเอาไออุ่นกันพอสมควร มีเก้าอี้ให้นั่งพักผ่อนหย่อนใจ มีน้ำพุและคุณเป็ดที่ว่ายน้ำประหนึ่งว่าน้ำมันอุ่น 




          
 ส่วนที่ถัดจากสวนนี้ไปก็คือ The Louvre Palace ใหญ่โตระโหฐานอีกแล้ว 




          และใช่แล้ว.....ห้องกระจกรูปทรงสามเหลี่ยมตรงกลางอันเก๋ไก๋ ก็คือ Musée du Louvre มิวเซียมอันแสนโด่งดังที่คนยอมเบียดเสียดเข้าไปดูคุณโมนาลิซ่านั่นเอง ภายในคงมีงานอาร์ตหลายหมื่นชิ้นแน่ ๆ เด็กสายอาร์ตไม่ควรพลาดที่จะเข้าชม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ..... ชั้นไม่เสพย์งานอาร์ต กอร์ปกับวันนี้วันที่ 1 มกราคม  ใช่แล้วจ่ะ ..... วันหยุด มิวเซียมปิด 







          Tips....สำหรับคนที่คิดว่าเห้ยเรามันเด็กสายอาร์ต เรามันเด็กเสพย์อาร์ต แนะนำให้ซื้อ Museum Pass เลย เรื่องราคาไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ถ้ากะเข้ามันทุกมิวเซียมก็ซื้อเลยจ่่ะ เพราะมิวเซียมที่นี่มันเยอะจริงไรจริง นอกจากนี้ก็สืบเรื่องวันเปิด-วันปิด เวลาทำการของแต่ละมิวเซียมให้ดีด้วย เดี๋ยวจะเก้อเอาได้  :-)

          ไปต่อ.....จุดหมายปลายทางสุดท้ายแล้วสินะ ใช้หลักการเดินคือการเดินทะลุไปออกอีกด้านหนึ่งของ The Louvre Palace จะเจอถนนกับโบสถ์อะไรซักอย่างอยู่ตรงหน้า ให้เดินเลี้ยวขวาไปก็จะเจอแม่น้ำเซนน์ เดินเลียบ ๆ แม่น้ำเซนน์ไปเรื่อย ๆ  เพราะเรากำลังจะมุ่งหน้าไป มหาวิหารโนตเรอดาม (Cathédrale Notre Dame de Paris, กาเตดราลโนตเรอดามเดอปารี)  กัน




          มหาวิหารโนตเรอดาม เป็นมหาวิหารในสมัยกอธิค ( Gothic ) ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส คำว่า Notre Dame ในชื่อของมหาวิหารนั้นแปลว่า "Our Lady" หรือ ก็คือ พระแม่มารีนั้นเอง ปัจจุบันมหาวิหารก็ยังใช้เป็นวัดของนิกายโรมันคาทอลิกและ เป็นที่นั่งของอาร์ชบิชอปแห่งปารีส มหาวิหารนอเทรอดามถือกันว่าเป็นวัดที่สวยงามที่สุดในสิ่งก่อสร้าง ยุคกอธิคแบบฝรั่งเศส วัดนี้ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์โดยเออแชน วียอเลต์-เลอ-ดุค ผู้เป็นสถาปนิกคนสำคัญที่สุดคนหนึ่งของฝรั่งเศส 






          อย่างที่เกริ่นไว้ตั้งแต่โพสต์แรก ๆ ว่าปารีสเนี่ยมีแม่น้ำเซนน์แบ่งปารีสออกเป็น 2 ฝั่ง คือฝั่งหอไอเฟลและฝั่ง Champ Elysees ฉะนั้นเราจะเห็นสะพานข้ามน้ำอยู่ในทุก ๆ ที่เพื่อเชื่อมระหวา่ง 2 ฝั่งเข้าด้วยกัน  แล้วพอพูดถึงสะพานเดาทางกันออกรึยังว่าจะพูดถึงอะไร ???

          ใช่แล้ว.....มันก็จะมีผู้คนเอากุญแจมาล้อคตามรั้วสะพานกันนั่นเอง  ที่ปารีสถึงเค้าจะมีหลากหลายสะพาน แต่ที่นี่ก็เป็นสะพานที่มีชื่อเสียงที่คนนิยมมาคล้องกุญแจสัญญารักกันที่ Pont des Arts หรือ Love Lock Bridge สัญลักษณ์แบบนี้กลายเป็นมีในเกือบทุกประเทศไปซะแล้ว  สำหรับใครที่ไม่ได้เตรียมกุญแจกันไปก็ไม่ต้องห่วง แถวนั้นมีขายกันให้พรึ่บ  



          ชั้นเดินออกจากแถวนี้ไปก็ประมาณบ่ายแก่ ๆ แล้ว อาหารเช้าของโรงแรมก็เริ่มหมดฤทธิ์  ท้องไส้เริ่มร้อง ระหว่างเดินหาร้านจะนั่งหาอะไรกิน ก็ไปเดินผ่านกับที่ ๆ นึง คนยืนรอและต่อแถวกันอยู่หน้าร้านจนทำให้ชั้นนึกสงสัยว่า ผู้คนเหล่านี้เค้าทำอะไรกันวะ  หรือมันมีของอะไรอร่อย ๆ ที่ชั้นจำเป็นต้องกินมั้ยหรือยังไง ชั้นก็เลยรีบแทรกฝูงชนเข้าไปดู สรุปมันคือ .............. ร้านหนังสือเชคสเปียร์  ซึ่งเปิดให้คนเข้าร้านทีละประมาณ 10 คนเองมั้ง ที่เหลือก็ยืนรออยู่ด้านนอกไป  ชั้นก็เดินผ่านไปแบบสวย ๆ เพราะหิว ไปหาอะไรใส่ท้องก่อน





          เดินเลยจากร้านหนังสือไปก็เจอร้านน่านั่งอยู่หัวมุมถนนพอดี ก็เลยเดินเข้าไปหาโต๊ะว่างนั่งกัน คนเยอะมาก ท่าทางอาหารเช้าจะหมดฤทธิ์มาเหมือน ๆ กัน เนื่องด้วยคนก็เยอะแล้วที่นั่งก็ค่อนข้างมีจำกัดเลยไม่ได้ถ่ายรูปอะไรมาเลยรวมทั้งอาหาร  เมนูอาหารที่ชั้นสั่งคือหอยแมลงภู่นึ่ง ซึ่งชั้นก็จำไม่ได้แล้วว่ามันนึ่งกับอะไร แต่มันก็อร่อยดี  หอยเล็ก ๆ ไซส์เท่า ๆ กับหอยบ้านเราเนี่ยหละ ยกมาให้หม้อใหญ่มาก เล่นเอาอิ่มเหมือนกัน


          ขอเม้าท์เรื่องในร้านอาหารนิดนึง ...... ตอนที่ชั้นนั่งดูเมนูชั้นก็เหลือบไปเห็นเมนูขากบกับหอยทาก อีกแล้ว !!!!!  จนชั้นแอบคิดขึ้นมาแว้บนึงในใจนะว่า เห้ย! นี่กูต้องลองแล้วนะ อยู่มา 3 วันเจอเมนูนี้ทั้ง 3 วัน มันต้องเด็ดดวงแน่ ๆ  แต่อีกใจก็คิดว่า "กูจะกินได้มั้ย"  ........ แต่มันมีเหตุการณ์เกิดขึ้นให้อีก !


          หลังจากชั้นกับแฟนเข้าไปนั่งในร้านได้ไม่นาน มีคู่หนุ่มสาวเดินมานั่งโต๊ะต่อจากเรา พนักงานเสิร์ฟเดินมารับออเดอร์ พวกเขาทั้ง 2 พูดภาษาอังกฤษแสดงว่าเป็นนักท่องเที่ยวเหมือนกัน  


พนักงาน : รับอะไรดีครับ

ผญ : //นางสั่งเบอร์เกอร์
ผช : Frog legs
พนักงาน :  ขากบหมดแล้ว ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ จะรับเป็นอะไรแทนดี
ผช : อ้อ งั้นไม่เป็นไร ไม่สั่งแล้ว เดี๋ยวเราไปร้านอื่น

          บร๊ะเจ้า !!!! ถึงขั้นลุกออกจากร้านเพราะไม่มีขากบให้กิน !!!!!!  ชั้นนี่อึ้งไปเลย แล้วก็แอบนั่งเม้าท์มอยกับแฟน  เดี๋ยวลองติดตามกับดูต่อว่าชีวิตชั้นที่ปารีสจะโดนขากบมั้ย  หึหึ


          หลังจากกินเสร็จอิ่มหนำสำราญกันออกมา เราเดินข้ามถนนจากร้านอาหารมา ก็เจอกับตรอกเล็ก ๆ ที่คับคั่งไปด้วยผู้คนอีกตามเคย มันเหมือนเป็นตรอกที่ขายอาหารพื้นเมือง มีร้านนั่งดื่มที่ดูแบบโลคอล ๆ  เต็มไปหมด  เดินไปซื้อเครปกินซะ 1 อันหลังอาหาร เครปที่นี่จะทำแบบแป้งนิ่ม ๆ ไม่ได้ทำกรอบ ๆ แบบบ้านเราทำขายกัน (1 ไส้/ 3-4 ยูโร)






          หลังจากนี้ก็เดินมุ่งหน้ากลับโรงแรมไปพักแข้งพักขากันหน่อย สังเกตุว่าเที่ยวมา 3 วันชั้นเดินกันอย่างเดียวเลย ไม่ได้นั่ง Metro หรือ Bus คือเอาจริง ๆ มันเดินได้เกือบหมดทุกที่นะถ้าชอบเดิน ที่เที่ยวแต่ละที่มันก็อยู่ติด ๆ กันไปหมด อีกอย่างได้เดินชมบ้านชมเมืองเค้าไปด้วยมันก็เพลินดี  ถามว่าอากาศดีมั้ย  มันก็ดีที่มีแดดแต่มันก็หนาวอยู่ดี  แต่ละวันที่ชั้นไปเดินก็ใส่เสื้อ 3 ชั้น โค้ททับอีกชั้นนึง  ผ้าพันคอ หมวก ถุงมือ พวกนี้เตรียมไปให้พร้อม เพราะว่าถ้าแกแพลนจะเดินทั้งวัน ช่วงบ่าย ๆ อากาศมันจะเริ่มเย็นขึ้น จะได้หยิบหมวก หยิบถุงมือมาใส่ เตรียมตัวให้พร้อมจะได้ไม่ทรมาน

          ชั้นขอจบโพสต์นี้ด้วยปารีสวิวกลางคืนนะ ระหว่างทางเดินกลับโรงแรม เค้าถึงเรียกกันว่า City of Light กลางคืนเปิดไฟกันสวยจริง ๆ  ขอบคุณมิตรรักแฟนเพลงที่ติดตามอ่านกันมาเช่นเคย 5555 เจอกันอีกทีโพสต์หน้า  Day 4 in Paris  นะจ้ะ 

// ส ว ัส ดี :-)