Paris : DAY 3
City of Love - City of Lights
ต้อนรับปี 2015 ก็ยังอยู่ที่ปารีสนะเออ เอ้า! ยังอยู่ก็เที่ยวต่อสิคะท่านผู้โช้มมม
เส้นทางการเดินเที่ยววันนี้ของชั้นมีดังต่อไปนี้จ่ะ
Les Invalides-> Place de la Concorde->
Louvre Palace-> Musée du Louvre-> Notre Dame
เริ่มต้นวันด้วยสเต็ปเดิม ๆ คือลงไปกินอาหารเช้าของโรงแรมให้จงอิ่ม วันนี้เป็นวันแรกที่ออกสตาร์ทจากที่พักแล้วไม่เดินผ่านหอไอเฟล เบื่อนางกันรึยัง เพราะรูปนางเยอะเหลือเกิน
วันนี้เดินเลี้ยวไปอีกทางเพื่อไปที่ Les Invalides (เลแซงวาลิด) ก็คือรูปแรกที่ใช้เปิดเรื่องของโพสนี้นั่นเอง เดี๋ยวลงเพิ่มให้ดูอีก Les Invalides เป็นอาคารที่ฝังพระศพของพระเจ้านโปเลียนที่ 1 และยังมีศพนายพลพระสหายอีกหลายคนฝังอยู่ด้วย อีกอย่างเขายังว่ากันว่ายอดโดมของอาคารนี้เป็นยอดโดมที่สวยที่สุดในปารีสอีกด้วย
เดินผ่านทะลุเข้าไปข้างในจะเป็นอาคารเหมือนทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าอ่ะ ใหญ่มาก ตรงกลางเป็นลานกว้าง ๆ รอบ ๆ จะมีปืนใหญ่วางอยู่เต็มไปหมด คิดว่าจะเป็นปืนใหญ่สมัยสงคราม ด้านในยังมีรถถังคันเล็ก ๆ ตั้งอยู่ด้วย ตอนแรกเดินเข้าไปดูก็นึกว่าเป็นของจำลองมาจากของจริง ที่ไหนได้ มันคือรถถังคันแรกที่ใช้ในการทำสงคราม
เดินมาเรื่อย ๆ จนถึงทางออกอีกทางไม่รู้จะเรียกด้านหน้ารึด้านหลังดี ดูเทียบจากภาพข้างบนนะ ชั้นเดินเข้ามาจากทางโดมใช่ป่ะ แล้วก็เดินตรงมาออกอีกทางนึง ที่มีสวนด้านหน้า แล้วที่นี่เค้าตัดตัดไม้เป็นรูปทรงเก๋มากนะ ไม่เคยเห็นที่ไหนตัดแบบนี้มาก่อน
พอมองตรงออกไปก็ร้อง อ้ออออออ! มันคือสะพานอเล็กซานเดอร์ที่ชั้นเดินมาเมื่อวานนี่เอง ก็เลยเดินข้ามสะพานกลับไปฝั่งถนน Champ Elysees กันอีกรอบ
นอกเรื่องนิดนึง....สังเกตุที่พื้นถนนกันสิจะเห็นว่ามีทางม้าลายเยอะมาก ที่ปารีสจะมีทางม้าลายเยอะมาก แม้กระทั่งซอยเล็ก ๆ ที่ต้องเดินข้ามผ่านถนนประมาณ 3-4 ก้าวก็ถึงอีกฝั่ง นางก็ยังระบายสีทางม้าลายกัน ยัง...ยังไม่หมด ทุกที่ ๆ มีทางม้าลายก็ต้องมีไฟคนข้ามถนน ย้ำ !!! ทุก ๆ ที่ ทุก ๆ แยก ซึ่งบางทีแต่ละไฟเขียวไฟแดงห่างกันประมาณ 100 เมตร บางทีมองตรงไปประมาณ 500 เมตรก็เจอซัก 5 ไฟแดง คิด ๆ แล้วก็แอบสงสารพวกรถเหมือนกัน
จุดหมายปลายทางต่อไปคือจะเดินย้อนกลับไปที่ Place De La Concorde ระหว่างทางก็เดินผ่านพวกที่ ๆ เดินผ่านมาเมื่อวานนั่นแหละ ปัจจุบันก็ยังไม่รู้ว่ามันเรียกว่าอะไร มันคงเป็นพิพิธภัณฑ์อะไรซักอย่างแหละ ถ้าใครรู้รบกวนคอมเม้นบอกด้วย
พอเดินมาถึง Place De La Concorde วันนี้โชคดีมาก เค้ามีงานอะไรกันก็ไม่รู้ เป็นเหมือนพวก Circus ประมาณนี้ แล้วก็เตรียมตั้งขบวนเดินมาร์ชกันมุ่งหน้าไปเส้น Champ Elysees
แอบเดินเลียบ ๆ เคียง ๆ ไปที่ชิงช้าสววรค์ ใจจริงอยากจะขึ้นไปนั่งซักรอบ มโนว่าวิวต้องสวยแน่ ๆ หลังจากเก็บกดจากการไม่ได้ขึ้นหอไอเฟลมาวันที่ 3 ละ เพราะคนเยอะขนาด แต่....พอเดินเข้าไปใกล้ ๆ ชั้นก็พบว่า " คนเยอะไม่แพ้กัน " เดินชื่นชมจากด้านล่างไปอีกตามระเบียบ
เสาที่เราเห็นดั้งเด่นอยู่กลางจตุรัสคองคอร์ดนี้คือ "Obélisque de Louxor" โอเบริกส์แห่งลักซอร์ เป็นโอเบลิกส์ศิลปะอียิปต์โบราณ สร้างจากหินแกรนิตสีแดงทั้งก้อน มีความสูงถึง 23 เมตร หนัก 250 ตันตัวโอเบริกส์ตกแต่งด้วยรูปฮีโรกลีฟิก เพื่อเป็นการสรรเสริญประเกียจติ์ ฟาโร รามเสสที่ 2 ในสมัย อียิปต์โบราณ
เดินข้ามถนน (ที่น่ากลัวมาก) ไปอีกฝั่งเลยจ้า
เดินตรงไปเรื่อย ๆ จะเจอกับ Park ขนาดใหญ่ มีคนนั่งอาบแดดเอาไออุ่นกันพอสมควร มีเก้าอี้ให้นั่งพักผ่อนหย่อนใจ มีน้ำพุและคุณเป็ดที่ว่ายน้ำประหนึ่งว่าน้ำมันอุ่น
ส่วนที่ถัดจากสวนนี้ไปก็คือ The Louvre Palace ใหญ่โตระโหฐานอีกแล้ว
และใช่แล้ว.....ห้องกระจกรูปทรงสามเหลี่ยมตรงกลางอันเก๋ไก๋ ก็คือ Musée du Louvre มิวเซียมอันแสนโด่งดังที่คนยอมเบียดเสียดเข้าไปดูคุณโมนาลิซ่านั่นเอง ภายในคงมีงานอาร์ตหลายหมื่นชิ้นแน่ ๆ เด็กสายอาร์ตไม่ควรพลาดที่จะเข้าชม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ..... ชั้นไม่เสพย์งานอาร์ต กอร์ปกับวันนี้วันที่ 1 มกราคม ใช่แล้วจ่ะ ..... วันหยุด มิวเซียมปิด
Tips....สำหรับคนที่คิดว่าเห้ยเรามันเด็กสายอาร์ต เรามันเด็กเสพย์อาร์ต แนะนำให้ซื้อ Museum Pass เลย เรื่องราคาไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ถ้ากะเข้ามันทุกมิวเซียมก็ซื้อเลยจ่่ะ เพราะมิวเซียมที่นี่มันเยอะจริงไรจริง นอกจากนี้ก็สืบเรื่องวันเปิด-วันปิด เวลาทำการของแต่ละมิวเซียมให้ดีด้วย เดี๋ยวจะเก้อเอาได้ :-)
ไปต่อ.....จุดหมายปลายทางสุดท้ายแล้วสินะ ใช้หลักการเดินคือการเดินทะลุไปออกอีกด้านหนึ่งของ The Louvre Palace จะเจอถนนกับโบสถ์อะไรซักอย่างอยู่ตรงหน้า ให้เดินเลี้ยวขวาไปก็จะเจอแม่น้ำเซนน์ เดินเลียบ ๆ แม่น้ำเซนน์ไปเรื่อย ๆ เพราะเรากำลังจะมุ่งหน้าไป มหาวิหารโนตเรอดาม (Cathédrale Notre Dame de Paris, กาเตดราลโนตเรอดามเดอปารี) กัน
มหาวิหารโนตเรอดาม เป็นมหาวิหารในสมัยกอธิค ( Gothic ) ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส คำว่า Notre Dame ในชื่อของมหาวิหารนั้นแปลว่า "Our Lady" หรือ ก็คือ พระแม่มารีนั้นเอง ปัจจุบันมหาวิหารก็ยังใช้เป็นวัดของนิกายโรมันคาทอลิกและ เป็นที่นั่งของอาร์ชบิชอปแห่งปารีส มหาวิหารนอเทรอดามถือกันว่าเป็นวัดที่สวยงามที่สุดในสิ่งก่อสร้าง ยุคกอธิคแบบฝรั่งเศส วัดนี้ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์โดยเออแชน วียอเลต์-เลอ-ดุค ผู้เป็นสถาปนิกคนสำคัญที่สุดคนหนึ่งของฝรั่งเศส
อย่างที่เกริ่นไว้ตั้งแต่โพสต์แรก ๆ ว่าปารีสเนี่ยมีแม่น้ำเซนน์แบ่งปารีสออกเป็น 2 ฝั่ง คือฝั่งหอไอเฟลและฝั่ง Champ Elysees ฉะนั้นเราจะเห็นสะพานข้ามน้ำอยู่ในทุก ๆ ที่เพื่อเชื่อมระหวา่ง 2 ฝั่งเข้าด้วยกัน แล้วพอพูดถึงสะพานเดาทางกันออกรึยังว่าจะพูดถึงอะไร ???
ใช่แล้ว.....มันก็จะมีผู้คนเอากุญแจมาล้อคตามรั้วสะพานกันนั่นเอง ที่ปารีสถึงเค้าจะมีหลากหลายสะพาน แต่ที่นี่ก็เป็นสะพานที่มีชื่อเสียงที่คนนิยมมาคล้องกุญแจสัญญารักกันที่ Pont des Arts หรือ Love Lock Bridge สัญลักษณ์แบบนี้กลายเป็นมีในเกือบทุกประเทศไปซะแล้ว สำหรับใครที่ไม่ได้เตรียมกุญแจกันไปก็ไม่ต้องห่วง แถวนั้นมีขายกันให้พรึ่บ
ชั้นเดินออกจากแถวนี้ไปก็ประมาณบ่ายแก่ ๆ แล้ว อาหารเช้าของโรงแรมก็เริ่มหมดฤทธิ์ ท้องไส้เริ่มร้อง ระหว่างเดินหาร้านจะนั่งหาอะไรกิน ก็ไปเดินผ่านกับที่ ๆ นึง คนยืนรอและต่อแถวกันอยู่หน้าร้านจนทำให้ชั้นนึกสงสัยว่า ผู้คนเหล่านี้เค้าทำอะไรกันวะ หรือมันมีของอะไรอร่อย ๆ ที่ชั้นจำเป็นต้องกินมั้ยหรือยังไง ชั้นก็เลยรีบแทรกฝูงชนเข้าไปดู สรุปมันคือ .............. ร้านหนังสือเชคสเปียร์ ซึ่งเปิดให้คนเข้าร้านทีละประมาณ 10 คนเองมั้ง ที่เหลือก็ยืนรออยู่ด้านนอกไป ชั้นก็เดินผ่านไปแบบสวย ๆ เพราะหิว ไปหาอะไรใส่ท้องก่อน
เดินเลยจากร้านหนังสือไปก็เจอร้านน่านั่งอยู่หัวมุมถนนพอดี ก็เลยเดินเข้าไปหาโต๊ะว่างนั่งกัน คนเยอะมาก ท่าทางอาหารเช้าจะหมดฤทธิ์มาเหมือน ๆ กัน เนื่องด้วยคนก็เยอะแล้วที่นั่งก็ค่อนข้างมีจำกัดเลยไม่ได้ถ่ายรูปอะไรมาเลยรวมทั้งอาหาร เมนูอาหารที่ชั้นสั่งคือหอยแมลงภู่นึ่ง ซึ่งชั้นก็จำไม่ได้แล้วว่ามันนึ่งกับอะไร แต่มันก็อร่อยดี หอยเล็ก ๆ ไซส์เท่า ๆ กับหอยบ้านเราเนี่ยหละ ยกมาให้หม้อใหญ่มาก เล่นเอาอิ่มเหมือนกัน
ขอเม้าท์เรื่องในร้านอาหารนิดนึง ...... ตอนที่ชั้นนั่งดูเมนูชั้นก็เหลือบไปเห็นเมนูขากบกับหอยทาก อีกแล้ว !!!!! จนชั้นแอบคิดขึ้นมาแว้บนึงในใจนะว่า เห้ย! นี่กูต้องลองแล้วนะ อยู่มา 3 วันเจอเมนูนี้ทั้ง 3 วัน มันต้องเด็ดดวงแน่ ๆ แต่อีกใจก็คิดว่า "กูจะกินได้มั้ย" ........ แต่มันมีเหตุการณ์เกิดขึ้นให้อีก !
หลังจากชั้นกับแฟนเข้าไปนั่งในร้านได้ไม่นาน มีคู่หนุ่มสาวเดินมานั่งโต๊ะต่อจากเรา พนักงานเสิร์ฟเดินมารับออเดอร์ พวกเขาทั้ง 2 พูดภาษาอังกฤษแสดงว่าเป็นนักท่องเที่ยวเหมือนกัน
พนักงาน : รับอะไรดีครับ
ผญ : //นางสั่งเบอร์เกอร์
ผช : Frog legs
พนักงาน : ขากบหมดแล้ว ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ จะรับเป็นอะไรแทนดี
ผช : อ้อ งั้นไม่เป็นไร ไม่สั่งแล้ว เดี๋ยวเราไปร้านอื่น
บร๊ะเจ้า !!!! ถึงขั้นลุกออกจากร้านเพราะไม่มีขากบให้กิน !!!!!! ชั้นนี่อึ้งไปเลย แล้วก็แอบนั่งเม้าท์มอยกับแฟน เดี๋ยวลองติดตามกับดูต่อว่าชีวิตชั้นที่ปารีสจะโดนขากบมั้ย หึหึ
หลังจากกินเสร็จอิ่มหนำสำราญกันออกมา เราเดินข้ามถนนจากร้านอาหารมา ก็เจอกับตรอกเล็ก ๆ ที่คับคั่งไปด้วยผู้คนอีกตามเคย มันเหมือนเป็นตรอกที่ขายอาหารพื้นเมือง มีร้านนั่งดื่มที่ดูแบบโลคอล ๆ เต็มไปหมด เดินไปซื้อเครปกินซะ 1 อันหลังอาหาร เครปที่นี่จะทำแบบแป้งนิ่ม ๆ ไม่ได้ทำกรอบ ๆ แบบบ้านเราทำขายกัน (1 ไส้/ 3-4 ยูโร)
หลังจากนี้ก็เดินมุ่งหน้ากลับโรงแรมไปพักแข้งพักขากันหน่อย สังเกตุว่าเที่ยวมา 3 วันชั้นเดินกันอย่างเดียวเลย ไม่ได้นั่ง Metro หรือ Bus คือเอาจริง ๆ มันเดินได้เกือบหมดทุกที่นะถ้าชอบเดิน ที่เที่ยวแต่ละที่มันก็อยู่ติด ๆ กันไปหมด อีกอย่างได้เดินชมบ้านชมเมืองเค้าไปด้วยมันก็เพลินดี ถามว่าอากาศดีมั้ย มันก็ดีที่มีแดดแต่มันก็หนาวอยู่ดี แต่ละวันที่ชั้นไปเดินก็ใส่เสื้อ 3 ชั้น โค้ททับอีกชั้นนึง ผ้าพันคอ หมวก ถุงมือ พวกนี้เตรียมไปให้พร้อม เพราะว่าถ้าแกแพลนจะเดินทั้งวัน ช่วงบ่าย ๆ อากาศมันจะเริ่มเย็นขึ้น จะได้หยิบหมวก หยิบถุงมือมาใส่ เตรียมตัวให้พร้อมจะได้ไม่ทรมาน
ชั้นขอจบโพสต์นี้ด้วยปารีสวิวกลางคืนนะ ระหว่างทางเดินกลับโรงแรม เค้าถึงเรียกกันว่า City of Light กลางคืนเปิดไฟกันสวยจริง ๆ ขอบคุณมิตรรักแฟนเพลงที่ติดตามอ่านกันมาเช่นเคย 5555 เจอกันอีกทีโพสต์หน้า Day 4 in Paris นะจ้ะ
// ส ว ัส ดี :-)
Paris : DAY 3
City of Love - City of Lights
ต้อนรับปี 2015 ก็ยังอยู่ที่ปารีสนะเออ เอ้า! ยังอยู่ก็เที่ยวต่อสิคะท่านผู้โช้มมม
เส้นทางการเดินเที่ยววันนี้ของชั้นมีดังต่อไปนี้จ่ะ
Les Invalides-> Place de la Concorde->
Louvre Palace-> Musée du Louvre-> Notre Dame
Louvre Palace-> Musée du Louvre-> Notre Dame
เริ่มต้นวันด้วยสเต็ปเดิม ๆ คือลงไปกินอาหารเช้าของโรงแรมให้จงอิ่ม วันนี้เป็นวันแรกที่ออกสตาร์ทจากที่พักแล้วไม่เดินผ่านหอไอเฟล เบื่อนางกันรึยัง เพราะรูปนางเยอะเหลือเกิน
วันนี้เดินเลี้ยวไปอีกทางเพื่อไปที่ Les Invalides (เลแซงวาลิด) ก็คือรูปแรกที่ใช้เปิดเรื่องของโพสนี้นั่นเอง เดี๋ยวลงเพิ่มให้ดูอีก Les Invalides เป็นอาคารที่ฝังพระศพของพระเจ้านโปเลียนที่ 1 และยังมีศพนายพลพระสหายอีกหลายคนฝังอยู่ด้วย อีกอย่างเขายังว่ากันว่ายอดโดมของอาคารนี้เป็นยอดโดมที่สวยที่สุดในปารีสอีกด้วย
เดินผ่านทะลุเข้าไปข้างในจะเป็นอาคารเหมือนทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าอ่ะ ใหญ่มาก ตรงกลางเป็นลานกว้าง ๆ รอบ ๆ จะมีปืนใหญ่วางอยู่เต็มไปหมด คิดว่าจะเป็นปืนใหญ่สมัยสงคราม ด้านในยังมีรถถังคันเล็ก ๆ ตั้งอยู่ด้วย ตอนแรกเดินเข้าไปดูก็นึกว่าเป็นของจำลองมาจากของจริง ที่ไหนได้ มันคือรถถังคันแรกที่ใช้ในการทำสงคราม
เดินมาเรื่อย ๆ จนถึงทางออกอีกทางไม่รู้จะเรียกด้านหน้ารึด้านหลังดี ดูเทียบจากภาพข้างบนนะ ชั้นเดินเข้ามาจากทางโดมใช่ป่ะ แล้วก็เดินตรงมาออกอีกทางนึง ที่มีสวนด้านหน้า แล้วที่นี่เค้าตัดตัดไม้เป็นรูปทรงเก๋มากนะ ไม่เคยเห็นที่ไหนตัดแบบนี้มาก่อน
พอมองตรงออกไปก็ร้อง อ้ออออออ! มันคือสะพานอเล็กซานเดอร์ที่ชั้นเดินมาเมื่อวานนี่เอง ก็เลยเดินข้ามสะพานกลับไปฝั่งถนน Champ Elysees กันอีกรอบ
นอกเรื่องนิดนึง....สังเกตุที่พื้นถนนกันสิจะเห็นว่ามีทางม้าลายเยอะมาก ที่ปารีสจะมีทางม้าลายเยอะมาก แม้กระทั่งซอยเล็ก ๆ ที่ต้องเดินข้ามผ่านถนนประมาณ 3-4 ก้าวก็ถึงอีกฝั่ง นางก็ยังระบายสีทางม้าลายกัน ยัง...ยังไม่หมด ทุกที่ ๆ มีทางม้าลายก็ต้องมีไฟคนข้ามถนน ย้ำ !!! ทุก ๆ ที่ ทุก ๆ แยก ซึ่งบางทีแต่ละไฟเขียวไฟแดงห่างกันประมาณ 100 เมตร บางทีมองตรงไปประมาณ 500 เมตรก็เจอซัก 5 ไฟแดง คิด ๆ แล้วก็แอบสงสารพวกรถเหมือนกัน
จุดหมายปลายทางต่อไปคือจะเดินย้อนกลับไปที่ Place De La Concorde ระหว่างทางก็เดินผ่านพวกที่ ๆ เดินผ่านมาเมื่อวานนั่นแหละ ปัจจุบันก็ยังไม่รู้ว่ามันเรียกว่าอะไร มันคงเป็นพิพิธภัณฑ์อะไรซักอย่างแหละ ถ้าใครรู้รบกวนคอมเม้นบอกด้วย
พอเดินมาถึง Place De La Concorde วันนี้โชคดีมาก เค้ามีงานอะไรกันก็ไม่รู้ เป็นเหมือนพวก Circus ประมาณนี้ แล้วก็เตรียมตั้งขบวนเดินมาร์ชกันมุ่งหน้าไปเส้น Champ Elysees
แอบเดินเลียบ ๆ เคียง ๆ ไปที่ชิงช้าสววรค์ ใจจริงอยากจะขึ้นไปนั่งซักรอบ มโนว่าวิวต้องสวยแน่ ๆ หลังจากเก็บกดจากการไม่ได้ขึ้นหอไอเฟลมาวันที่ 3 ละ เพราะคนเยอะขนาด แต่....พอเดินเข้าไปใกล้ ๆ ชั้นก็พบว่า " คนเยอะไม่แพ้กัน " เดินชื่นชมจากด้านล่างไปอีกตามระเบียบ
เสาที่เราเห็นดั้งเด่นอยู่กลางจตุรัสคองคอร์ดนี้คือ "Obélisque de Louxor" โอเบริกส์แห่งลักซอร์ เป็นโอเบลิกส์ศิลปะอียิปต์โบราณ สร้างจากหินแกรนิตสีแดงทั้งก้อน มีความสูงถึง 23 เมตร หนัก 250 ตันตัวโอเบริกส์ตกแต่งด้วยรูปฮีโรกลีฟิก เพื่อเป็นการสรรเสริญประเกียจติ์ ฟาโร รามเสสที่ 2 ในสมัย อียิปต์โบราณ
เดินข้ามถนน (ที่น่ากลัวมาก) ไปอีกฝั่งเลยจ้า
เดินตรงไปเรื่อย ๆ จะเจอกับ Park ขนาดใหญ่ มีคนนั่งอาบแดดเอาไออุ่นกันพอสมควร มีเก้าอี้ให้นั่งพักผ่อนหย่อนใจ มีน้ำพุและคุณเป็ดที่ว่ายน้ำประหนึ่งว่าน้ำมันอุ่น
ส่วนที่ถัดจากสวนนี้ไปก็คือ The Louvre Palace ใหญ่โตระโหฐานอีกแล้ว
และใช่แล้ว.....ห้องกระจกรูปทรงสามเหลี่ยมตรงกลางอันเก๋ไก๋ ก็คือ Musée du Louvre มิวเซียมอันแสนโด่งดังที่คนยอมเบียดเสียดเข้าไปดูคุณโมนาลิซ่านั่นเอง ภายในคงมีงานอาร์ตหลายหมื่นชิ้นแน่ ๆ เด็กสายอาร์ตไม่ควรพลาดที่จะเข้าชม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ..... ชั้นไม่เสพย์งานอาร์ต กอร์ปกับวันนี้วันที่ 1 มกราคม ใช่แล้วจ่ะ ..... วันหยุด มิวเซียมปิด
Tips....สำหรับคนที่คิดว่าเห้ยเรามันเด็กสายอาร์ต เรามันเด็กเสพย์อาร์ต แนะนำให้ซื้อ Museum Pass เลย เรื่องราคาไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ถ้ากะเข้ามันทุกมิวเซียมก็ซื้อเลยจ่่ะ เพราะมิวเซียมที่นี่มันเยอะจริงไรจริง นอกจากนี้ก็สืบเรื่องวันเปิด-วันปิด เวลาทำการของแต่ละมิวเซียมให้ดีด้วย เดี๋ยวจะเก้อเอาได้ :-)
ไปต่อ.....จุดหมายปลายทางสุดท้ายแล้วสินะ ใช้หลักการเดินคือการเดินทะลุไปออกอีกด้านหนึ่งของ The Louvre Palace จะเจอถนนกับโบสถ์อะไรซักอย่างอยู่ตรงหน้า ให้เดินเลี้ยวขวาไปก็จะเจอแม่น้ำเซนน์ เดินเลียบ ๆ แม่น้ำเซนน์ไปเรื่อย ๆ เพราะเรากำลังจะมุ่งหน้าไป มหาวิหารโนตเรอดาม (Cathédrale Notre Dame de Paris, กาเตดราลโนตเรอดามเดอปารี) กัน
มหาวิหารโนตเรอดาม เป็นมหาวิหารในสมัยกอธิค ( Gothic ) ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส คำว่า Notre Dame ในชื่อของมหาวิหารนั้นแปลว่า "Our Lady" หรือ ก็คือ พระแม่มารีนั้นเอง ปัจจุบันมหาวิหารก็ยังใช้เป็นวัดของนิกายโรมันคาทอลิกและ เป็นที่นั่งของอาร์ชบิชอปแห่งปารีส มหาวิหารนอเทรอดามถือกันว่าเป็นวัดที่สวยงามที่สุดในสิ่งก่อสร้าง ยุคกอธิคแบบฝรั่งเศส วัดนี้ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์โดยเออแชน วียอเลต์-เลอ-ดุค ผู้เป็นสถาปนิกคนสำคัญที่สุดคนหนึ่งของฝรั่งเศส
อย่างที่เกริ่นไว้ตั้งแต่โพสต์แรก ๆ ว่าปารีสเนี่ยมีแม่น้ำเซนน์แบ่งปารีสออกเป็น 2 ฝั่ง คือฝั่งหอไอเฟลและฝั่ง Champ Elysees ฉะนั้นเราจะเห็นสะพานข้ามน้ำอยู่ในทุก ๆ ที่เพื่อเชื่อมระหวา่ง 2 ฝั่งเข้าด้วยกัน แล้วพอพูดถึงสะพานเดาทางกันออกรึยังว่าจะพูดถึงอะไร ???
ใช่แล้ว.....มันก็จะมีผู้คนเอากุญแจมาล้อคตามรั้วสะพานกันนั่นเอง ที่ปารีสถึงเค้าจะมีหลากหลายสะพาน แต่ที่นี่ก็เป็นสะพานที่มีชื่อเสียงที่คนนิยมมาคล้องกุญแจสัญญารักกันที่ Pont des Arts หรือ Love Lock Bridge สัญลักษณ์แบบนี้กลายเป็นมีในเกือบทุกประเทศไปซะแล้ว สำหรับใครที่ไม่ได้เตรียมกุญแจกันไปก็ไม่ต้องห่วง แถวนั้นมีขายกันให้พรึ่บ
ชั้นเดินออกจากแถวนี้ไปก็ประมาณบ่ายแก่ ๆ แล้ว อาหารเช้าของโรงแรมก็เริ่มหมดฤทธิ์ ท้องไส้เริ่มร้อง ระหว่างเดินหาร้านจะนั่งหาอะไรกิน ก็ไปเดินผ่านกับที่ ๆ นึง คนยืนรอและต่อแถวกันอยู่หน้าร้านจนทำให้ชั้นนึกสงสัยว่า ผู้คนเหล่านี้เค้าทำอะไรกันวะ หรือมันมีของอะไรอร่อย ๆ ที่ชั้นจำเป็นต้องกินมั้ยหรือยังไง ชั้นก็เลยรีบแทรกฝูงชนเข้าไปดู สรุปมันคือ .............. ร้านหนังสือเชคสเปียร์ ซึ่งเปิดให้คนเข้าร้านทีละประมาณ 10 คนเองมั้ง ที่เหลือก็ยืนรออยู่ด้านนอกไป ชั้นก็เดินผ่านไปแบบสวย ๆ เพราะหิว ไปหาอะไรใส่ท้องก่อน
เดินเลยจากร้านหนังสือไปก็เจอร้านน่านั่งอยู่หัวมุมถนนพอดี ก็เลยเดินเข้าไปหาโต๊ะว่างนั่งกัน คนเยอะมาก ท่าทางอาหารเช้าจะหมดฤทธิ์มาเหมือน ๆ กัน เนื่องด้วยคนก็เยอะแล้วที่นั่งก็ค่อนข้างมีจำกัดเลยไม่ได้ถ่ายรูปอะไรมาเลยรวมทั้งอาหาร เมนูอาหารที่ชั้นสั่งคือหอยแมลงภู่นึ่ง ซึ่งชั้นก็จำไม่ได้แล้วว่ามันนึ่งกับอะไร แต่มันก็อร่อยดี หอยเล็ก ๆ ไซส์เท่า ๆ กับหอยบ้านเราเนี่ยหละ ยกมาให้หม้อใหญ่มาก เล่นเอาอิ่มเหมือนกัน
ขอเม้าท์เรื่องในร้านอาหารนิดนึง ...... ตอนที่ชั้นนั่งดูเมนูชั้นก็เหลือบไปเห็นเมนูขากบกับหอยทาก อีกแล้ว !!!!! จนชั้นแอบคิดขึ้นมาแว้บนึงในใจนะว่า เห้ย! นี่กูต้องลองแล้วนะ อยู่มา 3 วันเจอเมนูนี้ทั้ง 3 วัน มันต้องเด็ดดวงแน่ ๆ แต่อีกใจก็คิดว่า "กูจะกินได้มั้ย" ........ แต่มันมีเหตุการณ์เกิดขึ้นให้อีก !
หลังจากชั้นกับแฟนเข้าไปนั่งในร้านได้ไม่นาน มีคู่หนุ่มสาวเดินมานั่งโต๊ะต่อจากเรา พนักงานเสิร์ฟเดินมารับออเดอร์ พวกเขาทั้ง 2 พูดภาษาอังกฤษแสดงว่าเป็นนักท่องเที่ยวเหมือนกัน
พนักงาน : รับอะไรดีครับ
ผญ : //นางสั่งเบอร์เกอร์
ผช : Frog legs
พนักงาน : ขากบหมดแล้ว ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ จะรับเป็นอะไรแทนดี
ผช : อ้อ งั้นไม่เป็นไร ไม่สั่งแล้ว เดี๋ยวเราไปร้านอื่น
บร๊ะเจ้า !!!! ถึงขั้นลุกออกจากร้านเพราะไม่มีขากบให้กิน !!!!!! ชั้นนี่อึ้งไปเลย แล้วก็แอบนั่งเม้าท์มอยกับแฟน เดี๋ยวลองติดตามกับดูต่อว่าชีวิตชั้นที่ปารีสจะโดนขากบมั้ย หึหึ
หลังจากกินเสร็จอิ่มหนำสำราญกันออกมา เราเดินข้ามถนนจากร้านอาหารมา ก็เจอกับตรอกเล็ก ๆ ที่คับคั่งไปด้วยผู้คนอีกตามเคย มันเหมือนเป็นตรอกที่ขายอาหารพื้นเมือง มีร้านนั่งดื่มที่ดูแบบโลคอล ๆ เต็มไปหมด เดินไปซื้อเครปกินซะ 1 อันหลังอาหาร เครปที่นี่จะทำแบบแป้งนิ่ม ๆ ไม่ได้ทำกรอบ ๆ แบบบ้านเราทำขายกัน (1 ไส้/ 3-4 ยูโร)
หลังจากนี้ก็เดินมุ่งหน้ากลับโรงแรมไปพักแข้งพักขากันหน่อย สังเกตุว่าเที่ยวมา 3 วันชั้นเดินกันอย่างเดียวเลย ไม่ได้นั่ง Metro หรือ Bus คือเอาจริง ๆ มันเดินได้เกือบหมดทุกที่นะถ้าชอบเดิน ที่เที่ยวแต่ละที่มันก็อยู่ติด ๆ กันไปหมด อีกอย่างได้เดินชมบ้านชมเมืองเค้าไปด้วยมันก็เพลินดี ถามว่าอากาศดีมั้ย มันก็ดีที่มีแดดแต่มันก็หนาวอยู่ดี แต่ละวันที่ชั้นไปเดินก็ใส่เสื้อ 3 ชั้น โค้ททับอีกชั้นนึง ผ้าพันคอ หมวก ถุงมือ พวกนี้เตรียมไปให้พร้อม เพราะว่าถ้าแกแพลนจะเดินทั้งวัน ช่วงบ่าย ๆ อากาศมันจะเริ่มเย็นขึ้น จะได้หยิบหมวก หยิบถุงมือมาใส่ เตรียมตัวให้พร้อมจะได้ไม่ทรมาน
ชั้นขอจบโพสต์นี้ด้วยปารีสวิวกลางคืนนะ ระหว่างทางเดินกลับโรงแรม เค้าถึงเรียกกันว่า City of Light กลางคืนเปิดไฟกันสวยจริง ๆ ขอบคุณมิตรรักแฟนเพลงที่ติดตามอ่านกันมาเช่นเคย 5555 เจอกันอีกทีโพสต์หน้า Day 4 in Paris นะจ้ะ
// ส ว ัส ดี :-)