Sunday, February 22, 2015

Review : C H A O P H R A Y A



ทริปนี้เรียกว่าทริปกระทันหันเลยก็ว่าได้ เอ้ะ...หรือจะเรียกว่าการเดินทางธรรมดา ๆ ก็ได้ คืองี้เรื่องมันมีอยู่ว่า ตอนเย็นหลังเรียนเสร็จประมาณ 5 เย็น ต้องไปเยี่ยมป้าที่โรงพยาบาลศิริราช แล้วด้วยความที่เป็นเด็กอยู่ในเมืองบางเขน 5555 รู้จักมั้ยคะไปศิริราชยังไง ไม่รู้จ่ะ  ไปถามไถ่เพื่อนว่า เห้ยเนี่ยจะไปศิริราชไปยังไง หลาย ๆ คนแนะนำเป็นเสียงเดียวกันว่า "เรือ"  ทริปครั้งแรกของการนั่งเรือเลยเกิดขึ้น

สรุป...เอาวะ เรือก็เรือ ไม่เคยนั่งเรือมาก่อน อันดับแรกนั่ง BTS จากศาลาแดงไปลง BTS สะพานตากสิน ก็เดินลงมาที่ประตูทางออกหมายเลข 2 นะจ้ะ ตอนนั้นพอเดินลงมา เห้ยงง ทำไมมันมี 2 ท่าเรือวะ แล้วนี่ต้องขึ้นท่าไหนกันละวะเนี่ย ไม่รอช้าไลน์ถามเพื่อนเอา 5555  เพื่อนบอกเดินไปรอท่าเรือด่วนเลยจ้า

เดินมาถึงท่าเรือด่วน เอ้างงอีกรอบ ซื้อตั๋วตรงไหนอะไรยังไง แล้วเรือแม่งก็มาจอดเยอะมว้ากกกก ที่สำคัญคือที่หัวเรือเนี่ยเค้าจะมีธงสีต่าง ๆ เสียบอยู่ ก็เลยเดินด้อม ๆ ไปดูที่แผนที่ อ๋อ เค้าก็จะมีบอกนะว่าเรือที่จะนั่งเนี่ยธงสีอะไรจอดที่ท่าไหนบ้าง  อ่ะ....เอารูปแผนที่เรือมาให้ชม



เริ่มต้นจากท่าเรือสาทร ---> ท่าเรือวังหลัง เดินขึ้นมาก็จะเจอโรงพยาบาลศิริราชพอดี  ได้ยินเสียงผู้ชายคนนึงประกาศผ่านไมโครโฟนแต่ด้วยความที่ลำโพงเหมือนมันตั้งไปทั่ว นี่ก็หาคนพูดไม่เจอจ้าว่านางไปยืนพูดอยู่ตรงไหน ได้ยินแต่ให้เดินขึ้นเรือ เดินขึ้นเรือ ...... เรืออยู่หน๊ายยยยยยยยยยยย

ยืนหมุนรอบตัวเองด้วยความมึนงงเสมือนไม่ได้อยู่ในประเทศตัวเอง หันไปเห็นผู้ชายถือไมโครโฟนนั่นละ เดินไปถามนางว่าเนี่ยจะไปศิริราช นางก็ชี้ไป " ขี้นเลยจ้า 40 บาท " วินาทีนั้นดีใจมากเหมือนประสบความสำเร็จไปอีกก้าวนึงแล้วเว้ยเห้ย ได้ขึ้นเรือแล้ว !!!!!





เรือที่ขึ้นเรียกว่า "เรือด่วนเจ้าพระยา" หรือ "Chaophraya Express" ตั๋วราคาเที่ยวเดียว 40 บาท หรือบางคนจะซื้อแบบ One day ticket ก็มีขายราคา 150 บาท เรือลำนี้ผ่านสถานที่เที่ยวมากมายเลยไม่แปลกที่จะมีนักท่องเที่ยวอยู่บนเรือเยอะมาก แล้วบนเรือก็มีจะผู้ชายคนเดิมนั่นแหละ นางก็ถือไมค์คอยอธิบายถึงสถานที่สำคัญต่าง ๆ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา คอยบอกว่าถึงท่าเรือไหนแล้ว อยากเที่ยวที่ไหนต้องลงท่าเรือไหน ที่สำคัญนางพูด 2 เวอร์ชั่นนะจ้ะ เวอร์ชั่นอังกฤษกับเวอร์ชั่นไทย แซ่บมาก บอกเลย ไปดูรูปวิถีชีวิตและสถานที่สำคัญต่าง ๆ ริมลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา รูปมันเอียงกะเท่เร่ไปบ้างนะ คือถ่ายให้มันตรง ๆ ยากจริง ๆ จงมองให้มันเป็นศิลปะ 55555




" มนต์เสน่ห์ของลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา " 































สุดท้ายเป็นวิวที่ถ่ายมาจากตึกโรงพยาบาลศิริราช





จริง ๆ รีวิวนี้ไม่มีอะไรมากคืออยากเอาวิวสวย ๆ มาอวดคนที่ไม่เคยนั่งเรือ 5555 หยุดเสาร์-อาทิตย์ไม่มีอะไรทำ ลองให้การนั่งเรือเล่นที่แม่น้ำเจ้าพระยาเป็นอีกทางเลือกหนึ่งดู รับรองว่าติดใจ

ขอบคุณที่ติดตาม

// ส วั ส ดี :-)



Monday, February 16, 2015

Review : Seebad Bansin, Usedom, Germany [January 2015]




          เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงไม่ค่อยรู้จักสถานที่นี้เท่าไหร่ ถ้าได้ทัวร์ยุโรปกันแล้วส่วนมากจะไปตามเมืองโบราณ พิพิธภัณฑ์ หรือไม่ก็ขึ้นเขาไปเล่นหิมะชมวิวกันโน้นเลย น้อยคนนะที่จะรู้ว่า " เยอรมนีก็มีทะเลสวย ๆ เหมือนกัน "



          ทริปนี้เป็นทริปสั้น ๆ ไปพักแค่ 3 วัน 2 คืน [January 6-8,2015] ขับจากบ้านไปใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง Bansin ตั้งอยู่บนเกาะ Usedom (อู-เซ-โดม) อยู่ทางฝั่งทะเลตะวันออกหรือเรียกว่า Ostsee อีกฝั่งทะเลมองไปนี่ก็เป็นประเทศโปแลนด์แล้ว เกาะนี้ก็เหมือนพวกเกาะอื่น ๆ ในบ้านเราต้องเสียค่าเข้าเกาะ เพื่อเป็นค่าบำรุงรักษาแต่เค้าไม่มีราคาแยกระหว่างนักท่องเที่ยวหรือคนท้องถิ่น  ชนชาติไหนไปเที่ยวก็เสียเท่ากันหมด  เสียตังแล้วก็จะได้เป็นบัตรเล็ก ๆ เก็บไว้  ต้องพกไว้ตลอดนะเพราะอาจจะเจอเจ้าหน้าที่ของเกาะขอตรวจ ถ้าไม่มีโดนซื้อใหม่อีกรอบ 1ใบ/1 วันเท่านั้นนะ ถ้าเราเชฺ็คอินกลับทางโรงแรม ก็สามารถซื้อที่โรงแรมได้แล้ว เค้าก็จะออกบัตรให้ตามจำนวนวันที่เราพักอยู่ที่เกาะ 

       ช่วงที่ไปเป็นช่วงหน้าหนาวไม่ค่อยมีคนมาเที่ยวทะเล ใครมันจะบ้ามาวะหนาวมากบอกเลย เห็นแดดดี ๆ แบบนี้ เลขตัวเดียวบวกกับลมพัดกระหน่ำ REAL FEEL -10 องศา ชัด ๆ  อาคารบ้านช่องส่วนมากที่นี่จะเป็นบ้านพักฤดุร้อน รีสอร์ทฤดูร้อนซะส่วนใหญ่ตามแนวหาด มีหลายสไตล์มากไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าเป็นช่วยหน้าร้อนจะดีงามขนาดไหน  จะคัดสไตล์งาม ๆ มาให้ดู



วิวจากห้องพัก

ทั้งด้านซ้านและด้านขวาของถนน ล้วนแล้วแต่เป็นรีสอร์ท โรงแรม



โรงแรมที่อยู่หน้าหาดเลย วิวสวย ถ่ายตรงกลางมาซะเด่นแต่ที่พักคือ "ขวามือสุด" 555



โซนที่ห่างจากหน้าหาดออกมา สไตล์บ้านไม้ดูอบอุ่นดี



บ้านไม้เหมือนกันแต่เป็นสีขาว นึกถึงบ้านทรายทอง 



สไตล์นี้ก็เก๋นะจ้ะ



หลังนี้ดูสไตล์ไท๊ยไทย คล้าย ๆ เป็นกระท่อมกลางป่า น่ารักไปอีกแบบ


โซนหน้าหาด เห็นวิวชัดเจน 180 องศากันเลย


โซนหน้าหาดก็มีรีสอร์ทให้เลือกอีกมากมายก่ายกอง


สไตล์เป็นตึกก็มีนะจ้ะ


โรงแรมนี้แทบจะอยู่กึ่งกลางของรีสอร์ททั้งหมดเลย ข้าง ๆ ก็กำลังสร้างอีกที่เหมือนกัน


          เกาะ Usedom จะขึ้นชื่อเรื่องปลาทะเลมาก สดและอร่อย ส่งตรงทุกวันจากทะเล ชาวประมงเค้าจะออกไปหาปลาเกือบทุกวันถ้าคลื่นลมมันปกติ หลังจากนั้นเค้าก็จะมีบ้านที่เป็นเพิง ๆ ไม้อยู่ริมหาด  เค้าจะนำปลาที่จับได้มารมควันแต่ก็ไม่ได้ทำให้สุกซะทีเดียวนะ ทำให้มันมีกลิ่นรมควันหอม ๆ  บางร้านอาหาร โรงแรมเค้าก็จะมาซื้อปลากันตามริมหาดเนี่ยแหละ


บ้านที่ชาวประมงนำปลาที่ได้มาพักไว้และรมควัน บางหลังก็เปิดเป็นร้านอาหารเล็ก ๆ ด้วย ให้เราเข้าไปกินอาหารทะเลสด ๆ กันได้ถึงในบ้านเลย


เดาว่าเค้าน่าจะเป็นชาวประมงที่ออกไปจับปลา หนาวขนาดนี้เค้าคงไม่ได้ออกไปนั่งเรือเล่นหรอกนะชั้นว่า
สังเกตุดี ๆ ชุดที่เค้าใส่จะเป็นชุดเอี๊ยมพลาสกติกน่าจะกันน้ำ แต่กันหนาวได้มั้ยอันนี้ไม่แน่ใจ
          และแน่นอนสิ่งที่เราจะขาดไปไม่ได้คือ " อาหาร "  จับมาปลามาได้แล้วมาดูกันว่าเค้าเอาไปทำอะไรกิน อาหารว่างที่ขึ้นชื่อของที่นี่เลยนะ เรียกว่า " Fischbrötchen "  Fisch แปลว่า ปลา  brötchen แปลว่า ขนมปัง เอามันมารวมกัน " ขนมปังปลา "  5555 ไม่ใช่ขนมปังที่เราเอาไปโยนให้ปลาตะเพียนในวัดกินนะจ้ะ วิธีการทำก็คือ เค้าจะเอาไอ่เจ้าขนมปังที่เรียกว่า brötchen เนี่ยมาผ่ากลาง คล้าย ๆ กับแฮมเบอร์เกอร์นั่นแหละแต่ผ่านไม่ขาดจากกันนะ หลักจากนั้นเราก็ยืนเลือกได้เลยว่าจะเอาปลาอะไรเป็นไส้ มีทั้งปลารมควัน ปลาดิบ ปลาทอด สารพัดปลา สด ๆ ทั้งนั้น

ร้านริมหาดที่มาแวะชิมเจ้าขนมปังปลา - Kombüse แปลว่า ร้านอาหารที่อยู่บนเรือ


หน้าร้านมีกระดานเมนูหลากหลาย ช่วงนี้ไวน์อุ่น (glühweinก็ยังมีให้กินอยู่นะ


Fischbrötchen und Getränke - ขนมปังปลาและเครื่องดื่ม


หน้าตาของเจ้าขนมปังปลา
หน้าตาของคุณปลาชนิดต่าง ๆ เห็นแล้วหิว

ได้มาอยู่ในกำมือแล้ว วะ ฮะ ฮ่า ข้างในก็จะมีผักกับหัวหอม ไม่มีซอสใด ๆ นะจ้ะ กินแบบนี้เลย

อิ่มแล้วก็ไปเดินย่อยกันริมหาด จัดว่าเป็นการเดินเล่นที่ทรมานที่สุดในรอบปี โคตรหนาวววววววววว
















ช่วงหน้าร้อนหาดจะไม่ได้ว่างเปล่าแบบในภาพที่เราเห็นข้างบนนะ แต่มันจะละลานตาไปด้วย Strandkorb (ชะ-ตรัน-ค๊อบ) หรือ Beach Basket อารมณ์เหมือนตามชายหาดบ้านเราจะมีเตียงผ้าใบกางเนี่ยหละ แต่ที่นี่มันตั้งเป็นหลัง ๆ บนหาดเลย ซึ่งที่เกาะนี้เค้าก็เลยทำเป็นสัญลักษณ์ไว้ด้วยเป็น Strandkorb ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

Strandkorb ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ขนาดจริง ๆ ที่ตั้งตามหาดก็นั่งได้ประมาณ 2-3 คน ไม่ใหญ่มาก

Der größte Strandkorb der Welt - The biggest Beach Basket in the world

เดินเล่นริมหาดรับลมอันหนาวเหน็บไปแล้ว เปลี่ยนขึ้นมาเดินในสวนกันบ้าง บอกเลยว่าเกาะนี้สมกับเป็นเกาะเพื่อแวะมา relaxation มาก ๆ ไม่ว่าจะเดินเล่น เล่นน้ำทะเล ปั่นจักรยานรอบเกาะ ซึ่งในส่วนเค้าจะทำเลนส์แบ่งเป็น 2 ฝั่ง ฝั่งนึงสำหรับคนเดินเท้า อีกฝั่งสำหรับนักปั่น ถ้าเป็นช่วงสปริง ซัมเมอร์คงจะดีไม่ใช่น้อย

ซ้าย เดิน , ขวา จักรยาน






เกาะนี้นอกจากจะเป็นที่พักผ่อนที่ดีแล้ว ชาวเยอรมันเค้ายังแนะนำมาพักฟื้นจากอาการป่วยแถวนี้กันด้วย เค้าเชื่อว่าบริเวณทะเลเนี่ยมีอากาศบริสุทธิ์ แล้วก็มีกลิ่นไอเค็มจากทะเล ดีมากสำหรับคนที่เป็นป่วยหอบเป็นภูมิแพ้พวกนี้  บนเกาะนี้เค้าก็จะมีสถานพยาบาลที่นึงนะ เป็นที่พักฟื้นของคนป่วย

ช่วงนี้เป็น Low Season ถ่ายรูปออกมาจะดูเงียบเหงา วังเวงไปหน่อย ซึ่งจริง ๆ เดินในเมืองก็พอจะมีนักท่องเที่ยวอยู่บ้าง แต่ถามว่าวังเวงมั้ย ?  ตอบเลยว่า....วังเวงมาก  ยิ่งเป็นช่วงหน้าหนาว 4 โมงนี่พระอาทิตย์ตกจ้ะ 5 โมงพระจันทร์ขึ้นแล้วจ่ะ





ว่าด้วยเรื่องอาหารการกิน

เดินเล่นแล้วท้องก็หิวสินะ วันแรกที่ไปถึงโรงแรมก็เย็นแล้วมื้อค่ำเลยไปฝากท้องไว้ที่โรงแรม ตอนเดินเข้าไปในโซนห้องอาหารนี่ช็อคมาก เพราะคนที่นั่งอยู่ทั้งหมดสาบานได้ว่า 60 up แฟนนี่เลยบอกว่า เราเข้ามาลดค่า average อายุกันเลยนะเนี่ย 55555  อ้อ ลืมบอกชื่อที่พักสินะ
พักที่ Admiral Hotel  (http://www.insel-usedom.net/hotelbansinadmiral.htm)

** รูปเซ็ตนี้จะไม่ค่อยชัดเท่าไหร่นะ ถ่ายจากมือถือ **

หน้าปกเมนูเค้าจะเวิ่นเว้อที่มาที่ไป แล้วก็เล่าถึงอาหารถึงไวน์ บลา ๆ 

เริ่มเลือกอาหารกันเล้ยย เริ่มที่ซุป 

ซุปฟักทอง 


Main dish - ก็ปลาทอดเนี่ยหละ มาทะเลต้องกินปลา  5555

Radler Beer ของโปรด มันคือ Beer+Lemonade แหละ กินแล้วมันสดชื่นดี ชอบ

วัฒนธรรมการกินของที่เยอรมันนะคือต้องกินให้หมด หรือถ้ากินไม่หมดจะต้องกินมากกว่าครึ่งจาน เค้าจะใส่ใจผู้บริโภคมากไม่ใช่แค่ที่ร้านนี้นะ เท่าที่กิน ๆ มาในเยอรมนีจะเจอแบบนี้หมด คือพนักงานจะคอยถามตลอดว่า อาหารเป็นยังไงบ้าง รสชาติโอเคมั้ย แล้วยิ่งถ้ามาเจอเรากินอาหารไม่หมดจานหรือไม่ถึงครึ่งนึ่ ถามเลยจ่ะ ทำไมกินไม่หมด ไม่ถูกปากตรงไหนหรือเปล่า โน่นนี่นั่น เคยเจอร้านนึงนางขยั้นคะยอเอาไปใส่ห่อกลับบ้านเลยนะ เพราะบอกว่ากินไม่หมด มันเยอะมากจริง ๆ

เข้าสู่คืนที่ 2 - เราไปฝากท้องกันที่ร้าน " Fisch Domke "

เกริ่นนิดนึง.....ร้านนี้กินกันไปทั้งหมด 3 จานใหญ่ ๆ จานหลักทั้งนั้น แต่ไม่ได้ถ่ายรูปอาหารเก็บไว้ซักจาน ถ่ายไม่ทัน หิวและอร่อยมากกกกกกกกก  แค่เดินเข้าไปหน้าร้านก็ประดับประดาไปด้วยรูปคนดังมากมาย แสดงว่าต้องดังและอร่อยมาก ไม่รอช้าเดินไปที่ counter สั่งอาหาร

ด้านหน้า Counter จะมีปลาหลากหลายชนิดให้เลือกเลย ก็ชี้ ๆ แล้วก็บอกพ่อครัวว่าจะเอาไปต้มยำทำแกงทอดนึ่ง อะไรก็ว่าไป แล้วก็จ่ายเงินให้เรียบร้อยค่อยไปหาที่นั่ง  แต่ที่มันเก๋คือ หลังจากที่จ่ายเงินรับใบเสร็จมาแล้ว เค้าแจกกุ้งแดงมาให้ด้วย 1 ตัว ก็รับมาแบบงง ๆ ว่า เห้ย !  มันคืออะไรวะ  เดี๋ยวเฉลยข้างล่างนะ :-)

หน้าตาคุณกุ้งที่เราได้รับมา

นั่งคุยกันไป ท้องก็ร้องไป เห้ย ! คุณกุ้งสั่น !!!!  สั่นเหมือนโทรศัพท์เวลามีคนโทรเข้านั่นแหละ 555555 มันคือสัญญาณบอกว่าอาหารเราเสร็จแล้วนั่นเอง  ก็เดินถือคุณกุ้งไปรับอาหารที่ Counter  อยากขโมยคุณกุ้งกลับบ้านมาก 5555555





เป็นที่ ๆ บอกกับตัวเองไว้ว่าต้องกลับมาเหยียบอีกครั้งให้ได้ หน้าร้อนคงจะเจ๋งไม่น้อย รีวิวนี้รูปเยอะมากนี่ขนาดตัดออกไปเยอะแล้วนะเนี่ย  ขอลารีวิวนี้ไปด้วยภาพเช้าวันใหม่ตื่นมาเจอหิมะที่ Bansin กลายเป็น Snow beach สวยไปอีกแบบ  ขอบคุณที่ติดตาม

// ส วั ส ดี  :-)