Sunday, March 29, 2015

Review : Day 3 in Paris, France [January 01, 2015]


Paris : DAY 3

City of Love - City of Lights



ต้อนรับปี 2015 ก็ยังอยู่ที่ปารีสนะเออ  เอ้า! ยังอยู่ก็เที่ยวต่อสิคะท่านผู้โช้มมม 

เส้นทางการเดินเที่ยววันนี้ของชั้นมีดังต่อไปนี้จ่ะ  

Les Invalides-> Place de la Concorde-> 
Louvre Palace-> Musée du Louvre-> Notre Dame 

          เริ่มต้นวันด้วยสเต็ปเดิม ๆ คือลงไปกินอาหารเช้าของโรงแรมให้จงอิ่ม วันนี้เป็นวันแรกที่ออกสตาร์ทจากที่พักแล้วไม่เดินผ่านหอไอเฟล เบื่อนางกันรึยัง เพราะรูปนางเยอะเหลือเกิน 


          วันนี้เดินเลี้ยวไปอีกทางเพื่อไปที่ Les Invalides (เลแซงวาลิด) ก็คือรูปแรกที่ใช้เปิดเรื่องของโพสนี้นั่นเอง เดี๋ยวลงเพิ่มให้ดูอีก Les Invalides เป็นอาคารที่ฝังพระศพของพระเจ้านโปเลียนที่ 1 และยังมีศพนายพลพระสหายอีกหลายคนฝังอยู่ด้วย อีกอย่างเขายังว่ากันว่ายอดโดมของอาคารนี้เป็นยอดโดมที่สวยที่สุดในปารีสอีกด้วย




          เดินผ่านทะลุเข้าไปข้างในจะเป็นอาคารเหมือนทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าอ่ะ ใหญ่มาก ตรงกลางเป็นลานกว้าง ๆ รอบ ๆ จะมีปืนใหญ่วางอยู่เต็มไปหมด คิดว่าจะเป็นปืนใหญ่สมัยสงคราม ด้านในยังมีรถถังคันเล็ก ๆ ตั้งอยู่ด้วย ตอนแรกเดินเข้าไปดูก็นึกว่าเป็นของจำลองมาจากของจริง ที่ไหนได้ มันคือรถถังคันแรกที่ใช้ในการทำสงคราม




         เดินมาเรื่อย ๆ จนถึงทางออกอีกทางไม่รู้จะเรียกด้านหน้ารึด้านหลังดี ดูเทียบจากภาพข้างบนนะ ชั้นเดินเข้ามาจากทางโดมใช่ป่ะ แล้วก็เดินตรงมาออกอีกทางนึง ที่มีสวนด้านหน้า แล้วที่นี่เค้าตัดตัดไม้เป็นรูปทรงเก๋มากนะ ไม่เคยเห็นที่ไหนตัดแบบนี้มาก่อน

         
 พอมองตรงออกไปก็ร้อง อ้ออออออ! มันคือสะพานอเล็กซานเดอร์ที่ชั้นเดินมาเมื่อวานนี่เอง ก็เลยเดินข้ามสะพานกลับไปฝั่งถนน Champ Elysees กันอีกรอบ  

        นอกเรื่องนิดนึง....สังเกตุที่พื้นถนนกันสิจะเห็นว่ามีทางม้าลายเยอะมาก ที่ปารีสจะมีทางม้าลายเยอะมาก แม้กระทั่งซอยเล็ก ๆ ที่ต้องเดินข้ามผ่านถนนประมาณ 3-4 ก้าวก็ถึงอีกฝั่ง นางก็ยังระบายสีทางม้าลายกัน  ยัง...ยังไม่หมด ทุกที่ ๆ มีทางม้าลายก็ต้องมีไฟคนข้ามถนน ย้ำ !!! ทุก ๆ ที่ ทุก ๆ แยก ซึ่งบางทีแต่ละไฟเขียวไฟแดงห่างกันประมาณ 100 เมตร  บางทีมองตรงไปประมาณ 500 เมตรก็เจอซัก 5 ไฟแดง คิด ๆ แล้วก็แอบสงสารพวกรถเหมือนกัน 





              จุดหมายปลายทางต่อไปคือจะเดินย้อนกลับไปที่ Place De La Concorde ระหว่างทางก็เดินผ่านพวกที่ ๆ เดินผ่านมาเมื่อวานนั่นแหละ ปัจจุบันก็ยังไม่รู้ว่ามันเรียกว่าอะไร มันคงเป็นพิพิธภัณฑ์อะไรซักอย่างแหละ ถ้าใครรู้รบกวนคอมเม้นบอกด้วย





          พอเดินมาถึง Place De La Concorde วันนี้โชคดีมาก เค้ามีงานอะไรกันก็ไม่รู้ เป็นเหมือนพวก Circus ประมาณนี้ แล้วก็เตรียมตั้งขบวนเดินมาร์ชกันมุ่งหน้าไปเส้น Champ Elysees 








     แอบเดินเลียบ ๆ เคียง ๆ ไปที่ชิงช้าสววรค์ ใจจริงอยากจะขึ้นไปนั่งซักรอบ มโนว่าวิวต้องสวยแน่ ๆ  หลังจากเก็บกดจากการไม่ได้ขึ้นหอไอเฟลมาวันที่ 3 ละ เพราะคนเยอะขนาด แต่....พอเดินเข้าไปใกล้ ๆ ชั้นก็พบว่า " คนเยอะไม่แพ้กัน "  เดินชื่นชมจากด้านล่างไปอีกตามระเบียบ


    เสาที่เราเห็นดั้งเด่นอยู่กลางจตุรัสคองคอร์ดนี้คือ "Obélisque de Louxor" โอเบริกส์แห่งลักซอร์ เป็นโอเบลิกส์ศิลปะอียิปต์โบราณ สร้างจากหินแกรนิตสีแดงทั้งก้อน มีความสูงถึง 23 เมตร หนัก 250 ตันตัวโอเบริกส์ตกแต่งด้วยรูปฮีโรกลีฟิก เพื่อเป็นการสรรเสริญประเกียจติ์ ฟาโร รามเสสที่ 2 ในสมัย อียิปต์โบราณ




          เดินข้ามถนน (ที่น่ากลัวมาก) ไปอีกฝั่งเลยจ้า 



          เดินตรงไปเรื่อย ๆ จะเจอกับ Park ขนาดใหญ่ มีคนนั่งอาบแดดเอาไออุ่นกันพอสมควร มีเก้าอี้ให้นั่งพักผ่อนหย่อนใจ มีน้ำพุและคุณเป็ดที่ว่ายน้ำประหนึ่งว่าน้ำมันอุ่น 




          
 ส่วนที่ถัดจากสวนนี้ไปก็คือ The Louvre Palace ใหญ่โตระโหฐานอีกแล้ว 




          และใช่แล้ว.....ห้องกระจกรูปทรงสามเหลี่ยมตรงกลางอันเก๋ไก๋ ก็คือ Musée du Louvre มิวเซียมอันแสนโด่งดังที่คนยอมเบียดเสียดเข้าไปดูคุณโมนาลิซ่านั่นเอง ภายในคงมีงานอาร์ตหลายหมื่นชิ้นแน่ ๆ เด็กสายอาร์ตไม่ควรพลาดที่จะเข้าชม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ..... ชั้นไม่เสพย์งานอาร์ต กอร์ปกับวันนี้วันที่ 1 มกราคม  ใช่แล้วจ่ะ ..... วันหยุด มิวเซียมปิด 







          Tips....สำหรับคนที่คิดว่าเห้ยเรามันเด็กสายอาร์ต เรามันเด็กเสพย์อาร์ต แนะนำให้ซื้อ Museum Pass เลย เรื่องราคาไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ถ้ากะเข้ามันทุกมิวเซียมก็ซื้อเลยจ่่ะ เพราะมิวเซียมที่นี่มันเยอะจริงไรจริง นอกจากนี้ก็สืบเรื่องวันเปิด-วันปิด เวลาทำการของแต่ละมิวเซียมให้ดีด้วย เดี๋ยวจะเก้อเอาได้  :-)

          ไปต่อ.....จุดหมายปลายทางสุดท้ายแล้วสินะ ใช้หลักการเดินคือการเดินทะลุไปออกอีกด้านหนึ่งของ The Louvre Palace จะเจอถนนกับโบสถ์อะไรซักอย่างอยู่ตรงหน้า ให้เดินเลี้ยวขวาไปก็จะเจอแม่น้ำเซนน์ เดินเลียบ ๆ แม่น้ำเซนน์ไปเรื่อย ๆ  เพราะเรากำลังจะมุ่งหน้าไป มหาวิหารโนตเรอดาม (Cathédrale Notre Dame de Paris, กาเตดราลโนตเรอดามเดอปารี)  กัน




          มหาวิหารโนตเรอดาม เป็นมหาวิหารในสมัยกอธิค ( Gothic ) ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส คำว่า Notre Dame ในชื่อของมหาวิหารนั้นแปลว่า "Our Lady" หรือ ก็คือ พระแม่มารีนั้นเอง ปัจจุบันมหาวิหารก็ยังใช้เป็นวัดของนิกายโรมันคาทอลิกและ เป็นที่นั่งของอาร์ชบิชอปแห่งปารีส มหาวิหารนอเทรอดามถือกันว่าเป็นวัดที่สวยงามที่สุดในสิ่งก่อสร้าง ยุคกอธิคแบบฝรั่งเศส วัดนี้ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์โดยเออแชน วียอเลต์-เลอ-ดุค ผู้เป็นสถาปนิกคนสำคัญที่สุดคนหนึ่งของฝรั่งเศส 






          อย่างที่เกริ่นไว้ตั้งแต่โพสต์แรก ๆ ว่าปารีสเนี่ยมีแม่น้ำเซนน์แบ่งปารีสออกเป็น 2 ฝั่ง คือฝั่งหอไอเฟลและฝั่ง Champ Elysees ฉะนั้นเราจะเห็นสะพานข้ามน้ำอยู่ในทุก ๆ ที่เพื่อเชื่อมระหวา่ง 2 ฝั่งเข้าด้วยกัน  แล้วพอพูดถึงสะพานเดาทางกันออกรึยังว่าจะพูดถึงอะไร ???

          ใช่แล้ว.....มันก็จะมีผู้คนเอากุญแจมาล้อคตามรั้วสะพานกันนั่นเอง  ที่ปารีสถึงเค้าจะมีหลากหลายสะพาน แต่ที่นี่ก็เป็นสะพานที่มีชื่อเสียงที่คนนิยมมาคล้องกุญแจสัญญารักกันที่ Pont des Arts หรือ Love Lock Bridge สัญลักษณ์แบบนี้กลายเป็นมีในเกือบทุกประเทศไปซะแล้ว  สำหรับใครที่ไม่ได้เตรียมกุญแจกันไปก็ไม่ต้องห่วง แถวนั้นมีขายกันให้พรึ่บ  



          ชั้นเดินออกจากแถวนี้ไปก็ประมาณบ่ายแก่ ๆ แล้ว อาหารเช้าของโรงแรมก็เริ่มหมดฤทธิ์  ท้องไส้เริ่มร้อง ระหว่างเดินหาร้านจะนั่งหาอะไรกิน ก็ไปเดินผ่านกับที่ ๆ นึง คนยืนรอและต่อแถวกันอยู่หน้าร้านจนทำให้ชั้นนึกสงสัยว่า ผู้คนเหล่านี้เค้าทำอะไรกันวะ  หรือมันมีของอะไรอร่อย ๆ ที่ชั้นจำเป็นต้องกินมั้ยหรือยังไง ชั้นก็เลยรีบแทรกฝูงชนเข้าไปดู สรุปมันคือ .............. ร้านหนังสือเชคสเปียร์  ซึ่งเปิดให้คนเข้าร้านทีละประมาณ 10 คนเองมั้ง ที่เหลือก็ยืนรออยู่ด้านนอกไป  ชั้นก็เดินผ่านไปแบบสวย ๆ เพราะหิว ไปหาอะไรใส่ท้องก่อน





          เดินเลยจากร้านหนังสือไปก็เจอร้านน่านั่งอยู่หัวมุมถนนพอดี ก็เลยเดินเข้าไปหาโต๊ะว่างนั่งกัน คนเยอะมาก ท่าทางอาหารเช้าจะหมดฤทธิ์มาเหมือน ๆ กัน เนื่องด้วยคนก็เยอะแล้วที่นั่งก็ค่อนข้างมีจำกัดเลยไม่ได้ถ่ายรูปอะไรมาเลยรวมทั้งอาหาร  เมนูอาหารที่ชั้นสั่งคือหอยแมลงภู่นึ่ง ซึ่งชั้นก็จำไม่ได้แล้วว่ามันนึ่งกับอะไร แต่มันก็อร่อยดี  หอยเล็ก ๆ ไซส์เท่า ๆ กับหอยบ้านเราเนี่ยหละ ยกมาให้หม้อใหญ่มาก เล่นเอาอิ่มเหมือนกัน


          ขอเม้าท์เรื่องในร้านอาหารนิดนึง ...... ตอนที่ชั้นนั่งดูเมนูชั้นก็เหลือบไปเห็นเมนูขากบกับหอยทาก อีกแล้ว !!!!!  จนชั้นแอบคิดขึ้นมาแว้บนึงในใจนะว่า เห้ย! นี่กูต้องลองแล้วนะ อยู่มา 3 วันเจอเมนูนี้ทั้ง 3 วัน มันต้องเด็ดดวงแน่ ๆ  แต่อีกใจก็คิดว่า "กูจะกินได้มั้ย"  ........ แต่มันมีเหตุการณ์เกิดขึ้นให้อีก !


          หลังจากชั้นกับแฟนเข้าไปนั่งในร้านได้ไม่นาน มีคู่หนุ่มสาวเดินมานั่งโต๊ะต่อจากเรา พนักงานเสิร์ฟเดินมารับออเดอร์ พวกเขาทั้ง 2 พูดภาษาอังกฤษแสดงว่าเป็นนักท่องเที่ยวเหมือนกัน  


พนักงาน : รับอะไรดีครับ

ผญ : //นางสั่งเบอร์เกอร์
ผช : Frog legs
พนักงาน :  ขากบหมดแล้ว ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ จะรับเป็นอะไรแทนดี
ผช : อ้อ งั้นไม่เป็นไร ไม่สั่งแล้ว เดี๋ยวเราไปร้านอื่น

          บร๊ะเจ้า !!!! ถึงขั้นลุกออกจากร้านเพราะไม่มีขากบให้กิน !!!!!!  ชั้นนี่อึ้งไปเลย แล้วก็แอบนั่งเม้าท์มอยกับแฟน  เดี๋ยวลองติดตามกับดูต่อว่าชีวิตชั้นที่ปารีสจะโดนขากบมั้ย  หึหึ


          หลังจากกินเสร็จอิ่มหนำสำราญกันออกมา เราเดินข้ามถนนจากร้านอาหารมา ก็เจอกับตรอกเล็ก ๆ ที่คับคั่งไปด้วยผู้คนอีกตามเคย มันเหมือนเป็นตรอกที่ขายอาหารพื้นเมือง มีร้านนั่งดื่มที่ดูแบบโลคอล ๆ  เต็มไปหมด  เดินไปซื้อเครปกินซะ 1 อันหลังอาหาร เครปที่นี่จะทำแบบแป้งนิ่ม ๆ ไม่ได้ทำกรอบ ๆ แบบบ้านเราทำขายกัน (1 ไส้/ 3-4 ยูโร)






          หลังจากนี้ก็เดินมุ่งหน้ากลับโรงแรมไปพักแข้งพักขากันหน่อย สังเกตุว่าเที่ยวมา 3 วันชั้นเดินกันอย่างเดียวเลย ไม่ได้นั่ง Metro หรือ Bus คือเอาจริง ๆ มันเดินได้เกือบหมดทุกที่นะถ้าชอบเดิน ที่เที่ยวแต่ละที่มันก็อยู่ติด ๆ กันไปหมด อีกอย่างได้เดินชมบ้านชมเมืองเค้าไปด้วยมันก็เพลินดี  ถามว่าอากาศดีมั้ย  มันก็ดีที่มีแดดแต่มันก็หนาวอยู่ดี  แต่ละวันที่ชั้นไปเดินก็ใส่เสื้อ 3 ชั้น โค้ททับอีกชั้นนึง  ผ้าพันคอ หมวก ถุงมือ พวกนี้เตรียมไปให้พร้อม เพราะว่าถ้าแกแพลนจะเดินทั้งวัน ช่วงบ่าย ๆ อากาศมันจะเริ่มเย็นขึ้น จะได้หยิบหมวก หยิบถุงมือมาใส่ เตรียมตัวให้พร้อมจะได้ไม่ทรมาน

          ชั้นขอจบโพสต์นี้ด้วยปารีสวิวกลางคืนนะ ระหว่างทางเดินกลับโรงแรม เค้าถึงเรียกกันว่า City of Light กลางคืนเปิดไฟกันสวยจริง ๆ  ขอบคุณมิตรรักแฟนเพลงที่ติดตามอ่านกันมาเช่นเคย 5555 เจอกันอีกทีโพสต์หน้า  Day 4 in Paris  นะจ้ะ 

// ส ว ัส ดี :-)









Wednesday, March 4, 2015

Review : Day 2 in Paris, France [December 31, 2014]

Paris : DAY 2

City of Love - City of Lights



          วันนี้เราเแพลนจะเดินเล่นกันรอบ ๆ เมือง หรือเกือบรอบเมือง 5555 แล้วที่ ๆ เดินไปที่แรกก็คงไม่พ้นหอไอเฟลอีกนั่นแหละ ก็มันใกล้ที่พักแล้วต้องเดินผ่านนี่นา คร่าว ๆ คือเราจะเดินไปทางหอไอเฟล แล้วข้ามสะพานไปที่ Trocadero เป็นจุดที่เห็นวิวหอไอเฟลสวยเหมือนกัน จากนั้นต่อไปที่ Arc de Triomphe เดินเข้าเส้น Champ-Elysees  ไปเจอแผนที่ใน Google มา เอามาอัพให้ดู มันดูง่ายดี เริ่มต้นที่หอไอเฟล


          วันนี้ชั้นตื่นประมาณ 8 โมงกว่า ๆ เพราะต้องลุกไปอาบน้ำก่อน เพราะแฟนมันหาว่าชั้นแต่งตัวแต่งหน้านาน นางก็จะตื่นทีหลังชั้นเอาจริง ๆ นานก็อาบน้ำนานเหอะ ชิ !  แต่งตัวเสร็จเดินลงไปกินอาหารเช้าของโรงแรม เพื่อความประหยัด 55555  อาหารที่โรงแรมเป็นบุฟเฟต์สไตล์ยุโรป มีขนมปังนานาชนิด ชีสนานาชนิดให้เดินหยิบกินกันไป  สังเกตุอยู่อย่างนึงคือที่โรงแรมนี้มีพนักงานเป็นชาวเอเชียอยู่เยอะพอสมควร ชั้นว่าชั้นเห็นคนไทยแว้บ ๆ แต่ไม่แน่ใจ  โดยอาหารเช้าจะให้บริการไปจนถึง 10 โมงทุกวัน 

          เมื่อฟาดอาหารเช้ากันเรียบร้อย ขึ้นห้องมาคว้ากล้อง คว้าเงิน และที่ขาดไม่ได้ลิปบาล์ม 55555 ก็พร้อมตะลุยกันแล้ววันนี้  เราสองคนออกจากโรงแรมกันประมาณ 11 โมง  เดินไปทางหอไอเฟล วันนี้คนก็ยังเยอะเหมือนเดิม หรืออาจจะเยอะกว่าเดิมด้วยเพราะวันนี้เป็นวัน  New year eve  แต่วันนี้ชั้นจะพาไปดูวิวจากอีกฟากฝั่งกัน  



          เดินเลี้ยวมาทางซ้ายจะเห็นสะพานข้ามแม่น้ำแซน (Seine River) แม่น้ำสายหลักในปารีส เดินข้ามแล้วลองส่องวิวกลับไปสิ้ โอ้ววว้าวว สวยไม่แพ้เมื่อวาน



ไม่รอช้าก็รีบหันกล้องสองหน้าตัวเอง เซลฟี่กันซะหน่อย ไปกันสองคนก็งี้ รูปคู่น้อยมาก


ส่องกล้องขึ้นฟ้าหน่อย ๆ ให้มันดูย้อนแสง ก็เก๋ดีนะแก วันนี้เมฆเยอะหน่อย 




          พอเดินขึ้นไปบน Trocadero ก็ไม่รอช้าที่จะรีบไหว้วานให้ชาวบ้านมาถ่ายรูปคู่ให้เราสองคนซะหน่อย เคล็ดลับเด็ดของชั้นชั้นแนะนำให้แกลองหาคนที่มาเป็นคู่เหมือนกันไง แต่แกดูหน้าคนที่ไว้ใจได้และดูถ่ายรูปเป็นหน่อยนะ 55555  เสนอตัวเข้าไปช่วยเค้าเลยจ้าว่าเนี่ยถ่ายให้มั้ย  เสร็จปุ้ปเดี๋ยวเค้าก็จะมาถ่ายกลับให้เราเอง  เก๋ ๆ


วิวจาก Trocadero


          เราเดินทะลุ Trocadero ไปอีกด้านนึงเพื่อที่จะเดินมุ่งหน้าไปที่ Arc de Triomphe (อาร์กเดอทรียงฟ์) หรือที่เราเรียกกันว่า ประตูชัยฝรั่งเศส ระหว่างทางก็เดินเสพย์วิวเมือง วิวตึก ชอบที่เมืองนอกอยู่อย่างนึงคือบ้านเมืองเค้าส่วนมากจะเป็นสีเดียวกันหมดเลยนะ สีหลังคา สีตึกไรงี้ เดินดูแล้วมันสวยดี ดูเป็นรูปแบบเดียวกัน





          Arc de Triomphe ตั้งอยู่บนจัตุรัสชาร์ล เดอ โกล (Place Charles de Gaulle)  นึกภาพเหมือนอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิบ้านเราอ่ะ เค้าจะตั้งอยู่ตรงกลางเป็นวงเวียนใหญ่ ๆ แล้วก็เป็นถนนแยกออกเป็นสายต่าง ๆ 



          จะเดินไปฝั่งด้านในต้องเดินลงทางใต้ดินนะจ้ะ เพราะตรงรอบ ๆ เข้าเอารั้วกั้นไว้ทุกด้านห้ามเดินข้ามถนนไปเด็ดขาด อันตราย รถที่นี่ก็เยอะมาก เจอคนปารีสขับรถก็แอบน่ากลัวอยู่เหมือนกันนะ ในทางใต้ดินก่อนจะเดินโผล่ขึ้นไปเราจะเจอรูปภาพแสดงประวัติของ Arc de Triomphe 




          และจะมีที่ขายตั๋วเพื่อขึ้นไปชมวิวด้านบนด้วย (คนละ 9.50 ยูโร)  ตอนที่เราเดินไปถึงยังไม่ค่อยมีคนมากนัก แถวก็ยังไม่ยาวเลยตัดสินใจต่อแถวซื้อตั๋ว  วันนี้เค้าปิดเร็วด้วย 4 โมงก็ปิดละเพราะต้องเตรียมการสำหรับ New year eve คืนนี้




          สถานที่นี่เค้าสร้างเพื่อเป็นสดุดีเหล่าทหารที่เคยร่วมรบสมัยสงคราม ถ้าเราเดินไปใกล้ ๆ จะเห็นว่าตามกำแพงของ Arc de Triomphe จะเต็มไปด้วยชื่อทหารเต็มไปหมด







 ซึ่งถ้าเป็นวันชาติของฝรั่งเศสเค้าจะมีการจัดงานเฉลิมฉลองกันใหญ่โตที่นี่เลยหละ มีเครื่องบินไอพ่นบินเหนือ Arc de Triomphe แล้วพ่นสีออกมาเป็นธงชาติฝรั่งเศส คือมันอลังการมาก 


          เดินต่อขึ้นมาบนดินจะเจอประตูเล็ก ๆ เป็นทางขึ้นไปถึงยอด Arc de Triomphe แล้วแบบบันไดที่เดินขึ้นเป็นบันไดวนเล็ก ๆ เอาจริง ๆ มันก็ไม่ได้เดินขึ้นไปสูงมาก แต่ด้วยที่มันเป็นบันไดวนไงแก มันก็แคบใช่ป่ะ แล้วบวกกับคนเยอะมันเลยเหมือนกับเราหยุดพักไม่ได้อ่ะ ถ้าหยุดก็ไปขวางทางชาวบ้านเค้าไง เวียนหัวมากกกกกกกก


          ระหว่างทางจะมีเป็นชั้นการแสดงนิทรรศการต่าง ๆ ประวัติความเป็นมาและสงครามที่เกิดในฝรั่งเศส ที่ดัง ๆ ก็คงเป็นสงครามนโปเลียน พอเดินขึ้นไปถึงชั้นบนสุดคือวิวดีมาก เห็นเกือบทั้งเมืองเลยนะ แล้วเห็นสถานที่สำคัญ ๆ ของเมืองเยอะแยะเลย  แล้วที่สำคัญคือเดินชมวิวได้ 360 องศารอบ ๆ เลย คือดีงามมาก

อย่างรูปนี้ก็จะเห็นกลุ่มตึกสไตล์เก๋ ๆ ตรงนั้น เรียกว่าอะไรไมรู้




ส่วนรูปนี้เห็นไปยังมงต์มาร์ตร์ (Montmartre) เลยจ้า โบสถ์สีขาว ๆ ที่อยู่เขานั่นเห็นมั้ย ๆ 


รูปนี้เป็นถนนช็องเซลีเซ (Champ Elysees) ถนนที่มีชื่อเสียงที่สุดในฝรั่งเศส ขาช้อปห้ามพลาด   




และที่ขาดไม่ได้คือหอไอเฟลจ่ะ ชั้นบอกแล้วว่าอยู่ที่ไหนก็เห็นนาง




บางทีชั้นก็ต้องเสียสละตัวเองเพื่อเป็นขาตั้งกล้องให้นางได้เก็บภาพสวย ๆ นอกจากจะเอากล้องวางบนหัวชั้นแล้ว นางจะดึงผมชั้นด้วย รอบหน้าชั้นจะแบกขาตั้งกล้องมาให้นางดีมั้ยนะ แกคิดว่าไงกัน


          หลังจากที่ชมวิวด้านบนกันจุใจก็เลยเดินลงมาชมด้านล่างกันบ้าง เพราะว่าตอนแรกที่ต้องขึ้นไปข้างบนก่อน มันต้องต่อแถวกันยาวไง ไปดูความใหญ่อลังการของที่นี่กัน







          พอเดินลงมาด้านล่างแฟนชั้นนางก็บอกว่าเนี่ย ๆ มันมีซอยนึงเป็นแบบเหมือนตลาดแห่งความลับ 555 คือในหนังสือมันแนะนำว่าต้องไปดู  ออกแนวตรอก ๆ ตลาดสดไรงี้  แต่ก่อนที่จะมุ่งหน้าไปตรอกแห่งความลับ คือหิวน้ำเลยเลยแวะหาอะไรจิบกันหน่อย  ที่ปารีสนี่ดีอย่างนึงคือ Cafe เยอะมาก บางเส้นนี่ติด ๆ กัน 3-4 ร้าน คือเปิดกันแบบไม่กลัวเจ๊งกันเลย



          พอเดินถึงตรอกแห่งความลับ มันทำให้ชั้นบ้าคลั่งมากแกเพราะว่าแบบขายซีฟู้ดเยอะมาก แถมสด ๆ ทั้งนั้นเลย น้ำตาจะไหล ......





          เดินออกจากตลาดแบบไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือกลับออกมา แต่มองหน้ากันว่าคืนนี้ต้องหาซีฟู้ดกินให้ได้ คือเป็นที่ ๆ ไม่น่าเดินเข้ามาเลย มันทำชั้นหิว 55555  เราสองคนเดินย้อนกันกลับมาที่จัตุรัสเพื่อเดินไปถนน Champ Elysees ถนนเส้นดังแห่งฝรั่งเศส แล้วชั้นก็เชื่อแล้วว่านางดังมาก คนเป็นร้อยเลยแก๊ เดินไปเวียนหัวไป ถนนเส้นนี้เต็มไปด้วยห้างและร้านแบรนด์เนมชื่อดัง  อีกทั้งแกยังเห็นสไตล์การแต่งตัวเก๋ ๆ ของชะนีจากทั่วทุกมุมโลกที่ถนนเส้นนี้ด้วยนะ เดินหิ้วถุงกันเต็มไม้เต็มมือ ชั้นก็อยากหิ้วบ้างถ้าไม่ติดว่าชั้นต้องเก็บตังค์ไว้กินข้าว 555555555



หลุยส์ก็มา  

ซาร่าก็มี


          เดินไปจนสุดเส้น Champ Elysees  มองกลับมาแกก็จะเห็นวิว Ace de Triompe อยู่ปลายถนน



          ตอนนี้ก็เริ่มบ่ายคล้อย ๆ แล้วชั้นจำได้ว่าวันนี้ลมแรงมาก หนาวสุด ๆ รู้สึกปวดหูอีกอย่างชั้นปวดฉี่มาก ถ้าเดินตรงไปแกจะเห็นชิงช้าสวรรค์ หรือที่เรียกกันว่า Place De La Concorde แต่ไม่ไหวหว่ะ ณ จุดนี้ชั้นต้องการห้องน้ำอย่างแรงกล้า  เลยเดินเลี้ยวขวากันมาเพื่อหา Cafe นั่ง ซึ่งแน่นอนหาไม่ยาก พอเดินเลี้ยวขวามากันแบบ Unplan ก็ไปเจอกันสถานที่ที่เราไม่รู้จักไง 55555  เอารูปมาให้ดูแต่ชั้นก็ไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร  ชั้นว่าจะมิวเซียมอะไรซักอย่างแหละ






ตรงนี้เจอคุณตำรวจยืนกันอยู่เต็มไปหมด เหมือนรอจะทำอะไรซักอย่าง ตอนแรกยืนรอดูแหละอยากรู้ไง แต่เห็นว่าเริ่มนานละ ก็เลยไม่รอ ชั้นหนาววววววว


          พอเดินผ่านตึกพวกนี้มาก็  อ๋ออออออออ  เจอสะพาน Alexandre-III


 
          ปงอาแล็กซ็องดร์-ทรัว หรือ สะพานอะเลคซันดร์ที่ 3 (Pont Alexandre-III) เป็นสะพานที่เค้าว่ากันว่าหรูหราที่สุดในปารีส เพราะประดับประดาไปด้วยสีทอง ๆ วิ้งวับสวยงามมาก เค้าสร้างเพื่อเฉลิมฉลองให้กับองค์อเล็กซานเดอร์ที่ 3 สะพานก็เป็นสะพานข้ามแม่น้ำแซนเหมือนกัน เป็นสะพานที่เชื่อมฝั่งหอไอเฟลกับฝั่งช็องเซลีเซเข้าด้วยกัน  





เรือนำเที่ยวล่องแม่น้ำแซน ชมวิวรอบเมือง




          ตามเสาบริเวณสะพานจะมียอดเป็นรูปปั้นของเทพธิดา นางฟ้า เป็นสีทองตั้งตระหง่านอยู่เต็มไปหมด โชคดีที่ตอนนี้ใกล้เวลาพระอาทิตย์ตกดิน แสงสีทองจากพระอาทิตย์มากระทบกับรูปปั้นพวกนี้สวยมาก 






          เราเดินกลับโรงแรมกันทางฝั่งหอไอเฟล วันนี้ทองฟ้าเป็นสีทอง สีส้ม สีชมพู เดินชมวิวกันไปเรื่อยๆ เลียบฝั่งริมแม่น้ำแซน สรุปวันนึงชั้นเดินกันหลายกิโลมาก ไม่เคยคิดจะนั่งรถกันเลยอ่ะ ที่เห็นในรูปนี่เหมือนอากาศดีนะ แต่หนาวมีลม โชคดีที่มีแดดถ่ายรูปออกมาเลยสวย 



          สุดท้ายก็คงไม่พ้นที่จะเก็บภาพหอไอเฟลกันอีกตามเคย  55555




          เดินกลับไปจนถึงหอไอเฟลด้วยความหิวโหย เพราะระหว่างเราเดินเที่ยวกันส่วนมากจะกินแค่น้ำไม่ก็กาแฟด้วยความที่อิ่มมาจากอาหารเช้า เราก็จะมาหิวอีกทีรอบเย็นเลย แต่วันนี้รู้สึกหิวมากเลยเดินเข้าไปแถวหอไอเฟลเค้ามีขนมปังไส้กรอก ขนมปังไก่บาร์บีคิวขายร้อน ๆ พร้อมนั่งชมวิวแบบใกล้ ๆ 





          ตอนแรกชั้นก็คิดว่าคืนนี้จะมีจุดพลุช่วงเค้าท์ดาวน์ สรุปคิดผิด ที่นี่เค้าห้ามจุดพลุกันแล้ว ที่หอไอเฟลตอนกลางคืนเค้าก็เลยเปลี่ยนเป็นแสดงไฟแว้บ ๆ แทนทุก ๆ 1 ชั่วโมงเค้าก็จะเปิดประมาณ 1-2 นาทีเนี่ยหละแทน 



          หลังจากนี้เราก็เดินไปพักเท้ากันอยู่ในโรงแรมพักนึงก่อนจะไปเดินตระเวนหาร้านนั่งกินกัน แต่ร้านที่เราไปกินวันแรกดันปิดซะนี่ เลยต้องไปเดินหาร้านที่พอมีที่นั่งว่างแทน เพราะส่วนใหญ่จะโดน Reserve กันเต็มหมดแล้ว แต่ชั้นไม่ได้พกกล้องไป เลยอดเอาร้านนี้มาแฉเลยอ่ะ โดนกันไปเซ็ตละ 70 ยูโร น้ำตาจะไหล แถมรสชาติอาหารห่วยมาก มื้อนี้โดนไปทั้งสิ้นประมาณ 200 ยูโร ร้องไห้หนักมาก 555555  เค้าท์ดาวน์กันอยู่โรงแรมเพราะข้างนอกคนเยอะ ไม่มีพลุอีกตะหาก

          จบแล้วสำหรับรีวิววันที่ 2 พรุ่งนี้เราก็ยังอยู่ที่ปารีสกันต่อ รออ่านนะว่าเราจะไปตะลุยที่ไหนกัน

/ / ส วั ส ดี :-)